ช้างสยามสร้างกำแพงจีน
คำว่า “ช้าง” ถูกเรียกในภาษาจีนกลางว่า “เซียง”
ส่วนชาว "สยาม" จีนเรียกว่า “เซียน”(หนึ่งในหลายสำเนียง)
สองคำนี้จึงอาจมีความหมายถึงการอยู่ร่วมกันเป็นความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดระหว่างชาวสยามกับช้างที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก ดังที่“หยางฝู”ได้บันทึกไว้ในหนังสืออี้อู้จื้อในสมัยฮั่นตะวันออก(พ.ศ.๕๖๘-๗๖๓)ตอนหนึ่งว่าที่นี่
“...มีประชากรจำนวนมาก นิยมล่าช้าง หากจับได้ก็ใช้ขับขี่
ถ้าตายก็เอางา...”(1)
ช้างจึงเป็นสิ่งที่มีอยู่มากและอยู่กันมานานบนแผ่นดินสยาม และเนื่องจากช้างเป็นสัตว์ขนาดใหญ่ที่มีความอดทนสูงและฉลาดอย่างเลอเลิศ
ดังที่ อริสโตเติล ปรัชญาเมธีกรีกโบราณ เคยกล่าวไว้ว่า
“ช้างเป็นสัตว์ซึ่งเหนือกว่าสัตว์ทั้งปวงทั้งในด้านไหวพริบและจิตใจ”(1) จึงเห็นได้ว่านับแต่โบราณทุกรัฐแคว้นแถบเอเชียใต้ต่างฝึกช้างเพื่อใช้ในการศึกสงคราม
สร้างเมือง และอีกหลายกรณี
ช้างมีบทบาทสำคัญต่อสยามนับแต่การสร้างชาติจนถึงทูตสันถวไมตรี
ภาพจาก : ศูนย์บริบาลช้าง Elephant Nature Park เชียงใหม่
สยามกับราชสำนักจีนมีราชไมตรีกันมานานทั้งด้านการทูตและการค้า
ส่วนใหญ่ช้างจึงถูกนำมาเป็นส่วนหนึ่งของการเจริญสัมพันธไมตรี แต่จะว่าไปแล้วแม้สยามจะมีความสัมพันธ์กับจีนมาอย่างยาวนาน
แต่การส่งช้างไปจีนก็ใช่ว่าจะปรากฏบ่อยนัก หากประมวลหลักฐานความสัมพันธ์ระหว่างสยามกับจีนที่พบจากโบราณวัตถุก็นับได้ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่นในพุทธศตวรรษที่
๖ เรื่อยมาจนถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๘ในราชวงศ์ซ่ง
และเห็นหลักฐานเป็นรูปธรรมจากพระราชพงศาวดารจีนสมัยราชวงศ์หยวนในต้นพุทธศตวรรษที่
๑๙ แต่ก็ยังไม่ปรากฏว่าสยามส่งช้างไปจีน
หลักฐานจริง ๆนั้นมีช่วงเข้าสู่ต้นพุทธศตวรรษที่
๒๐ ของจักรวรรดิต้าหมิง ปรากฏบันทึกการส่งช้างไปยังราชสำนักจีนเป็นครั้งแรกในการเจริญความสัมพันธ์ทางการทูต เป็นการส่งไปโดยพระราชบัญชาของสมเด็จพระบรมราชาธิราชเจ้า(ขุนหลวงพ่องั่ว)โดยผู้ที่นำไปคือองค์รัชทายาท
บันทึกจากพงศาวดารจีนในสมัยราชวงศ์หมิง ได้ถูกนำมาแปลความอย่างน้อย ๓
ครั้ง ในครั้งแรก (2) ระบุว่า “แผ่นดินหงบู๊ปีที่ ๔ ซินหาย(ปีกุน จ.ศ.๗๓๓พ.ศ.๑๙๑๔)
เสี้ยมหลอฮกก๊ก เซียนเลียดเจี่ยวปี่เองี่ย(1) ให้ราชทูตเชิญพระราชสาสนแลพาช้างกับเต้าหกเท้า...”
การแปลครั้งต่อมา(3)ระบุราชทูตพระนามว่า “เจ้าอังกุ” ขณะที่การแปลครั้งล่าสุด(4)ขยายพระนามออกไปว่า
“เจ้าเอี้ยนกูหมาน” และได้ให้ความหมายว่าคือ “เจ้าอินทรกุมาร”
เจ้าอินทรกุมาร ภายหลังก็คือ เจ้านครอินทร์ นั่นเอง
ซึ่งเวลานั้นอยู่ในวัยเพียง ๑๒ ชันษาเป็นหัวหน้าคณะราชทูตไปเจริญสัมพันธไมตรีกับปฐมกษัตริย์แห่งจักรวรรดิต้าหมิง และได้รับความชื่นชมจากฮ่องเต้จูหยวนจาง
เป็นอย่างมากทรง “..รับสั่งให้เจ้าพนักงานเอาแพรม้วนประทานไปให้อ๋อง
กับประทานผ้าม้วนให้ราชทูตด้วย”(5)
ถิ่นอาศัยของช้างเอเชีย
แดงเข้ม-ปัจจุบัน ,แดงอ่อน-อดีต
ภาพและคำบรรยาย :วิกิพีเดีย
สารานุกรมเสรี
ถือเป็นครั้งแรกที่พระเจ้าแผ่นดินสยามส่งช้าง ซึ่งเป็นสัตว์สำคัญของราชสำนักที่มีไว้ใช้ทั้งการสงคราม
และใช้งานลากจูง เมื่อมาตั้งข้อสังเกตว่าเหตุใด
ราชสำนักไทยต้องส่งช้างไปให้ต้าหมิง และพบกับข้อเท็จจริงว่าในอดีตอาณาจักรจีนเคยมีช้าง
แต่ประชากรช้างลดจำนวนลงอย่างรวดเร็วจากเหตุผลของสงครามระหว่างรัฐต่าง
ๆที่ดำเนินมาอย่างยาวนาน และผลจากการเบียดพื้นที่ช้างเพื่อใช้เป็นพื้นที่ทำกิน
ในที่สุดช้างก็สูญพันธุ์ เหลือเพียงบางส่วนในแถบมณฑลยูนนานซึ่งอยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงมาก
จีนไม่ใช้ช้างทำการรบ อาจเพราะความไม่ถนัดมาแต่บรรพชน ชาวจีนหลากชาติพันธุ์นิยมการต่อสู้บนหลังม้า
และชำนาญในการควบคุมม้ามากกว่าสัตว์อื่นใด
เมื่อมาพิจารณาปัจจัยรอบด้าน ก็พบว่าในรัชสมัยจูหยวนจาง หมิงไท่จงฮ่องเต้
นอกจากการพัฒนาประเทศอย่างรอบด้านทั้งการปฏิรูประบบขุนนาง การพัฒนาด้านเกษตรแม่น้ำคูคลอง
การกำหนดเกณฑ์ภาษี
อุตสาหกรรมการทอผ้าไหม การผลิตเครื่องเคลือบดินเผา
การทำเหมืองเหล็ก การหล่อเครื่องทองเหลือง การผลิตกระดาษ และการต่อเรือ พันธกิจที่สำคัญอีกประการหนึ่ง
คือการสร้างกำแพงเพื่อป้องกันศัตรูภายนอก อันเป็นหนึ่งในระบบการป้องกันภัยจากภายนอกที่สั่งสมมาทุกราชวงศ์
กำแพงเมืองจีนมีสร้างมาก่อนสมัยฉินซีฮ่องเต้ (๗๖๔-๗๔๙ ก่อนพุทธกาล)เพื่อให้ยากต่อการเข้าถึงของพวกมองโกลและแมนจู
โดยเป็นการสร้างต่อจากแนวกำแพงเดิมที่สร้างมาจากรัฐต่าง ๆในสมัย
“เจ็ดมหานครรัฐยุคจั้นกั๋ว” และมีการสร้างต่อเนื่องผ่านสมัยราชวงศ์ต่าง
ๆนับตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่น ราชวงศ์สุย ราชวงศ์ถัง ราชวงศ์หยวน ราชวงศ์หมิง จนถึงราชวงศ์ชิง
เป็นเวลากว่า ๒,๐๐๐ ปี
เมื่อไม่นานมานี้ มีการเปิดเผยระยะทางของกำแพงเมืองจีน จากการสำรวจของนักโบราณคดี ระหว่างปีพ.ศ.๒๕๕๑-๒๕๕๕
และประกาศอย่างเป็นทางการจากสำนักงานมรดกวัฒนธรรมแห่งชาติจีน เมื่อวันที่ ๖
มิถุนายน ๒๕๕๕ ว่ามีความยาวถึง ๒๑,๑๙๖.๑๘ กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ ๑๕
มณฑลทั่วประเทศ
กำแพงเมืองจีนหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่สร้างมานานกว่า
๒,๐๐๐ ปี
ภาพจาก : วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ในระยะทางที่ยาวขนาดนี้ มีการสร้างมากที่สุดในสมัยราชวงศ์หมิง(1368-1644/๑๙๑๑-๒๑๘๗) และส่วนใหญ่ที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบันก็เป็นกำแพงในสมัยนี้เช่นกัน เนื่องจากสร้างด้วยวัสดุที่แข็งแรงทนทานกว่าเป็นระยะทางรวม ๗,๓๐๐ กิโลเมตร ที่เริ่มต้นนับจากด่านเจียอี้กวนมณฑลกันซู่ทางภาคตะวันตก จนถึงริมแม่น้ำยาลู่ของมณฑลเหลียวหนิงทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ผ่านพื้นที่ ๙ มณฑลนครและเขตปกครองตนเอง รวมระยะทาง ๑๔,๐๐๐ ลี้ (๗,๓๐๐ ก.ม.)
จึงเป็นที่มาของคำว่า “กำแพงหมื่นลี้”
การที่กำแพงเมืองจีนใช้เวลาการสร้างมาต่อเนื่องเป็นเวลากว่า ๒,๐๐๐ ปี
เพราะการก่อสร้างเป็นไปอย่างยากลำบากโดยเฉพาะพื้นที่บางแห่งเป็นภูเขาสูงชัน และด้วยสภาพป่าอันสลับซับซ้อนแม้จะใช้คนงานเป็นจำนวนมหาศาล แต่ก็ไม่พอเพียงต่อการลำเลียงขนส่งวัสดุอุปกรณ์
และช้างจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทางการจีนต้องการ โดยเฉพาะช้างจากสยามในฐานะประเทศที่มีความสัมพันธ์กันมานาน
ในช่วงปีพ.ศ.๑๙๓๑ สมเด็จพระบรมราชาธิราชเจ้า (ขุนหลวงพ่องั่ว)
จึงส่งช้างล็อตใหญ่ไปจีนเป็นจำนวนที่ไม่เคยมีการบันทึกมาก่อน คือเป็นจำนวนมากถึง ๓๐
เชือก และด้วยความที่จีนไม่มีผู้ชำนาญในการเลี้ยงหรือบังคับช้าง
ขุนหลวงพ่องั่วจึงส่งคนเลี้ยงไปร่วมกับคณะราชทูตอีกจำนวน ๖๐ คน
ดังมีบันทึกไว้ในพงศาวดารว่า
“แผ่นดินหงบู๊ปีที่ ๒๑ โบ้วสิน(ตรงกับปีมะโรงจ.ศ.๗๕๐/พ.ศ.๑๙๓๑)
ราชทูตเสี้ยมหลอก๊กนำช้างสามสิบช้าง กับคนหกสิบคนมาถวาย..”(6)
จูหยวนจาง จักรพรรดิต้าหมิง
ที่จิตรกรเขียนให้มีนรลักษณ์เป็นมังกร
ภาพจาก :วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ไม่มีบันทึกเพิ่มเติมว่าช้างทั้ง ๓๐ เชือก และควาญช้างทั้ง ๖๐ คน มีชีวิตอยู่กันอย่างไร ได้กลับมาสยามหรือไม่ แต่ผลจากครั้งนั้นทำให้ระดับความสัมพันธ์ของ ๒ ราชวงศ์ยิ่งกระชับแน่นแฟ้นขึ้น
ระบบการค้าขายแลกเปลี่ยนเป็นไปอย่างคล่องตัวในระดับมั่งคั่ง
กล่าวได้ว่า
ในรัชสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชเจ้า หรือที่ราชสำนักจีนเรียกพระองค์ว่า “สมเด็จเจ้าพระยาสุรินทราราช”
ถือเป็นยุครุ่งเรืองของสยาม ภายหลังการย้ายจากสุพรรณภูมิมาตั้งฐานที่มั่นในพระมหานครศรีอยุธยา
และความรุ่งเรืองภายใต้ผลประโยชน์ร่วมกันนี้ ได้ทอดเงาสืบเนื่องมาถึงแผ่นดินสมเด็จพระนครินทราธิราช
หรือเจ้าอินทรกุมาร ราชทูตสยามที่นำช้างไปถวายจักรพรรดิหงหวู่
แห่งจักรวรรดิต้าหมิงนั่นเอง.
ช้างสยามอีกหนึ่งต้นทางสุพรรณภูมิ
............วิญญู
บุญยงค์............
******
เชิงอรรถ
(1)อ.ประพฤทธิ์
ศุกลรัตนเมธี ผู้ช่วยอธิการบดี มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ
เป็นผู้แปลจากหนังสืออี้อู้จื้อ
(2)เสี้ยมหลอฮกก๊ก
หมายถึงพระเจ้าแผ่นดินสยาม,เซียนเลียดเจี่ยวปี่เองี่ย หมายถึง สมเด็จเจ้าพระยา คือขุนหลวงพ่องั่ว
อ้างอิง
1.วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี อ้างจาก O'Connell, Caitlin (2007). The Elephant's
Secret Sense: The Hidden Lives of the Wild Herds of Africa. New York City:
Simon & Schuster. pp. 174, 184. ISBN 0743284410.
2,5,6.ประชุมพงศาวดารภาคที่
๕.จดหมายเหตุว่าด้วยกรุงสยามแต่โบราณ(เรียบเรียงจากจดหมายเหตุจีน ๕ เรื่อง).แปลโดย
หลวงเจนจีนอักษร(สุดใจ).
3.ต้วน
ลี เซิง,รศ.หมิงสือลู่ (บันทึกเกี่ยวกับราชวงศ์หมิง).หนังสือพลิกต้นตระกูลไทย.สำนักพิมพ์พิราบ.พิมพ์ครั้งที่
2.พ.ศ.2521.
4.ประพฤทธิ์
กุศลรัตนเมธี,(ผู้แปลหมิงสือลู่).หมิงสือลู่ - ชิงสือลู่ บันทึกเรื่องจริงแห่งราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิงฯ.มูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา
สยามบรมราชกุมารี.2559.