สมัยพระราชบิดาขุนหลวงพ่องั่ว
วิญญู บุญยงค์
ข้อสรุปของคำว่า “เสียน เสียม เสียมก๊ก
และเสี้ยมก๊ก คือสุพรรณภูมิ”มีผลต่อเนื่องไปถึงการตีความในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสุพรรณภูมิจากหนังสือหลวง
คิมเตี้ยชกทงจี ที่ได้รับการรวบรวมและเรียบเรียงขึ้นจากบันทึกโบราณโดย 66 ขุนนาง
ในแผ่นดินเขียนหลงปีที่ 32 ราชวงศ์เชง(จ.ศ.1129 พ.ศ.2310) ถึงแผ่นดินเขียนหลงปีที่
50 ขุนนางจ๋อโตวหงือซื้อ ชื่อ กีก๊ก เจ้ากรมพระอาลักษณ์ฝ่ายขวา
กับขุนนางต๋ายลี้ยี่เคง (ขุนนางกรมในกระทรวงเมือง)ชื่อ เล็กเซียะหิม
ได้ชำระหนังสือ คิมเต้ยซกทงจี อีกครั้งหนึ่ง ต่อมาขุนเจนจีนอักษร(สุดใจ)
ได้แปลออกมาเป็นหนังสือเรื่องเสี้ยมก๊ก หลอฮกก๊ก เปนพระราชไมตรีกับกรุงจีน
ถวายล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 และรู้จักกันในชื่อ “จดหมายเหตุว่าด้วยกรุงสยามแต่โบราณ(เรียบเรียงจากจดหมายเหตุจีน
๕ เรื่อง)”
แต่ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจถึงแนวคิดของราชสำนักจีนที่มีต่อบรรดาประเทศต่าง
ๆ เสียก่อน โดยสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
ได้ทรงอธิบายเบื้องต้นไว้ว่า
“...
ต้องไม่ลืมว่าวิไสยพระเจ้าแผ่นดินจีนชอบยกย่องเกียรติยศของตนเองแต่ไร ๆ มา
บรรดาเมืองต่างประเทศที่ไปมาค้าขายหรือแต่งราชทูตไปเมืองจีน
จีนจดหมายเหตุตีขลุมเอาว่าๆไปอ่อนน้อมยอมขึ้นต่อกรุงจีนไม่เลือกหน้าว่าประเทศไหน ๆ
พระเจ้าแผ่นดินต่างประเทศไม่ว่ายุโรปหรือเอเชีย
จดหมายเหตุจีนไม่ยอมยกเกียรติให้ใครเปน “ฮ่องเต้” ให้เปนเพียง “อ๋อง” ทุกประเทศ
ต่างประเทศที่ไปมาค้าขายหรือเกี่ยวข้องกับจีน
เมื่อยังไม่รู้หนังสือแลภาษาจีนก็ไม่รู้เท่าจีน การเปนดังนี้มาหลายร้อยปี...”
ช่วงปลายแผ่นดินจนถึงหลังการสวรรคตของพระเจ้าชัยวรมันที่
7(สวรรคต พ.ศ.1761) ล่วงสู่สมัยพระเจ้าอินทรวรมันที่ 2(พ.ศ.1762-1786)
จนถึงพระเจ้าชัยวรมันที่ 8(พ.ศ.1786-1838) ประเทศต่าง ๆ ในแถบตะวันตก
ตะวันตกเฉียงเหนือ และตะวันตกเฉียงใต้ของอาณาจักรขอมต่างค่อย ๆแยกตัวเป็นอิสระ
กล่าวคือ ในปีพ.ศ. 1792 พ่อขุนศรีอินทราทิตย์
แยกตัวออกจากขอมแล้วสถาปนากรุงสุโขทัย
สุพรรณภูมิ นครรัฐโบราณก่อนสถาปนากรุงศรีอยุธยา ภาพจาก : วารสารเมืองโบราณ ฉบับที่ ๔๒.๔ |
ในช่วงเวลาใกล้กันสุพรรณภูมิก็ค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้นมาพร้อมกับการผนวกนครไชยศรี
ราชบุรีและพริบพรี ก่อนที่จะขยายลงไปผนวกนครศรีธรรมราชจนถึงมะละกา เพื่อจุดประสงค์ขยายพื้นที่การค้าทางทะเลทั้งฝั่งอันดามันและอ่าวไทย
เนื่องจากการลดระดับของน้ำทะเล จากจุดนี้เองที่ราชสำนักจีนในสมัยพระเจ้าหงวนสีจงฮ่องเต้(เป็นช่วงเวลาที่มองโกลยึดกรุงจีน)ต้องการขยายอิทธิพลและการค้ามายังแถบนี้
จึงส่งราชทูตเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับเจ้ากรุงสุพรรณภูมิ ดังจดหมายเหตุจีน
ระบุไว้ว่า
“แผ่นดินจี่หงวนปีที่ 19 หยิมโหงวลักหง้วย (ตรงกับเดือนแปด
ปีมะเมีย จ.ศ.644/พ.ศ.1825) พระเจ้าหงวนสีโจ๊วฮ่องเต้ รับสั่งให้ขุนนางก๊วนกุนโหว
ชื่อ หอจือจี่ เปนราชทูตไปเกลี้ยกล่อมเสี้ยมก๊ก”
เห็นได้ว่าในช่วงนี้ สุพรรณภูมิ
ได้ก่อร่างสร้างตัวและลงหลักปักฐานสถาปนาเมืองอย่างชัดเจน หลังจากที่ต้องใช้เวลารบพุ่งและรวบรวมกำลังพลจนยืนหยัดขึ้นเป็นอาณาจักรอีกครั้ง
ราชสำนักจีนเล็งเห็นประโยชน์จึงส่งราชทูตมาเจริญสัมพันธไมตรี แต่การมาของคณะราชทูตในครั้งนั้นไม่เป็นผลสำเร็จ
เนื่องจากสำเภาอับปางเสียก่อน หลังจากนั้นอีก 11 ปีต่อมา พระเจ้าหงวนสีโจ๊วฮ่องเต้
จึงได้ส่งราชทูตเข้ามาอีกครั้ง ดังมีบันทึกว่า
“แผ่นดินจี่หงวนปีที่ ๓๐ กุ่ยจี๋สี่หง้วย
(ตรงกับเดือนหก ปีมะเส็ง จ.ศ.655/พ.ศ.1836)
พระเจ้าหงวนสี่โจ๊วฮ่องเต้รับสั่งให้ราชทูตไปทำพระราชไมตรีด้วยพระเจ้าเสี้ยมก๊ก”
เขตแดนราชวงศ์หยวน ราวปีพ.ศ.1837 ภาพจาก : วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี |
จากนั้นในปีรุ่งขึ้นพระเจ้ากรุงสุพรรณภูมิ
จึงเสด็จไปจีน แต่พระเจ้าหงวนสี่โจ๊วฮ่องเต้ ก็เสด็จสวรรคตเสียก่อน
เป็นช่วงเวลาเปลี่ยนแผ่นดิน พระเจ้ากรุงสุวรรณภูมิ จึงเข้าเฝ้าฮ่องเต้จีนพระองค์ใหม่
บันทึกระบุว่า
“แผ่นดินจี่หงวนปีที่ ๓๑
กะโหงวชิดหง้วย(ตรงกับเดือนเก้า ปีมะเมีย
จ.ศ.656/พ.ศ.1837)ในปีนั้นพระเจ้าหงวนสี่โจ๊วฮ่องเต้สวรรคต
พระเจ้าหงวนเสงจงฮ่องเต้ขึ้นเสวยราชสมบัติ แต่ยังไม่ได้เปลี่ยนนามแผ่นดิน
เสี้ยมก๊กอ๋องกังมกติ๋งมาเฝ้า
พระเจ้าหงวนเสงจงฮ่องเต้รับสั่งกับเสี้ยมก๊กอ๋องกังมกติ๋งว่า
แม้ท่านคิดว่าเปนไมตรีกันแล้วก็ควรให้ลูกชายหรือขุนนางมาเปนจำนำไว้บ้าง”
มีความเป็นไปได้ว่าเสี้ยมก๊ก หรือกรุงสุพรรณภูมิเล็งเห็นว่าสัมพันธไมตรีกับราชสำนักจีนน่าจะเป็นประโยชน์อยู่ไม่น้อย
แม้ในบันทึกไม่ได้ระบุว่าพระเจ้ากรุงสุพรรณภูมิส่งเจ้าชายรัชทายาท
หรือขุนนางไปยังราชสำนักจีนหรือไม่ แต่ในเวลานั้นภายในราชสำนักจีนก็คลาคล่ำไปด้วยรัชทายาทของประเทศต่าง
ๆเข้ามาอยู่เป็นจำนวนมาก
ด้วยความที่กรุงสุพรรณภูมิตั้งอยู่ชัยภูมิที่ด้านหลังเป็นแผ่นดินกว้างใหญ่มีแม่น้ำสายใหญ่สายรองเป็นเส้นทางสัญจรเชื่อมต่อกันได้สะดวก
ขณะที่ตอนล่างครอบครองพื้นที่ชายฝั่งทะเลมีท่าเรือการค้าอยู่เรียงราย ภายใต้กองทัพที่แข็งแกร่งทั้งภาคพื้นและภาคสมุทร
ราชสำนักจีนจึงเลือกใช้วิธีปฏิบัติต่อสุพรรณภูมิ แบบถ้อยทีถ้อยอาศัยผ่อนปรน
แม้ว่าในบางสถานการณ์สุพรรณภูมิเข้าไปขัดผลประโยชน์ในพื้นที่การค้าของจีน เช่นกรณีการบุกโจมตีหัวเมืองทางตอนล่างแถบมลายู
ในช่วงพ.ศ.1838 ถือเป็นกลยุทธสำคัญที่ราชสำนักกรุงสุพรรณภูมิเลือกใช้วิธี“ตีก่อน..แจ้งทีหลัง”บันทึกจากเอกสารจีนระบุว่า
“เสี้ยมก๊กให้ราชทูตนำราชสาสนอักษรเขียนด้วยน้ำทองมาถวาย
ด้วยเสี้ยมก๊กกับม่าลี้อี๋เอ้อก๊ก (มลายู)ทำสงครามโดยสาเหตุความอาฆาฏกัน
เฉียวเถง(รัฐบาล)แต่งให้ราชทูตนำหนังสือตอบราชสาสนไปถึงเสี้ยมก๊กว่ากล่าวประนีประนอมให้เลิกสงครามกันเสียทั้งสองฝ่าย”
เครื่องเคลือบสมัยราชวงศ์หยวน ภาพจาก : วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี |
กล่าวได้ว่าสุพรรณภูมิเวลานั้น
ด้านหนึ่งต้องสร้างกลไกที่มั่นทางการค้าด้วยการใช้กำลังเพื่อบุกยึดพื้นที่เป้าหมายสำคัญ
อีกด้านหนึ่งต้องรักษาความมั่นคงภายในอาณาจักร การมีไมตรีที่ดีต่อกรุงจีนจึงเป็นประโยชน์ต่อสุพรรณภูมิ
ข้อดีคือจีนเป็นมหาอำนาจในเวลานั้นการเจริญสัมพันธไมตรีกับจีนเท่ากับมีราชสำนักจีนสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง
และปัจจัยสำคัญคือกรุงจีนกับสุพรรณภูมิอยู่ห่างไกลกัน
หากมีข้อพิพาทก็ต้องใช้เวลานานกว่าจะสะสางได้ และแน่นอนว่าราชสำนักจีนก็ได้ประโยชน์จากการค้าที่มีสุพรรณภูมิเป็นทัพหน้าอยู่ไม่น้อย
ดังบันทึกระบุว่า
“ในแผ่นดินไต๊เต็ก...(ตรงกับปีระกา จ.ศ.659/พ.ศ.1840)เสี้ยมก๊กให้ราชทูตมาขอม้า
พระเจ้าหงวนเสงจงฮ่องเต้ ประทานเสื้อกิมหลูอี้ (เสื้อยศลายทอง)ให้ไป”
ราชไมตรีระหว่างสองราชสำนักยังมีมาอย่างต่อเนื่อง บันทึกระบุต่อมาว่า “แผ่นดินไต๋เต็ก
(นามแผ่นดินของพระเจ้าหงวนเสงจงฮ่องเต้) ปีที่ ๔ แกจื้อลักหง้วย (ตรงกับเดือนแปด
ปีชวด จ.ศ.662/พ.ศ.1843)เสี้ยมก๊กอ๋องมาเฝ้า”
การถวายส่งเสื้อยศลายทองของฮ่องเต้หงวนเสงจง
ต่อเจ้ากรุงสุวรรณภูมิ เป็นการแสดงถึงการให้เกียรติอย่างสูง
เสมือนเป็นการประกาศให้รับรู้กันทั่วไปว่าสุพรรณภูมิกับกรุงจีนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
และยังยืนยันได้จากบันทึกว่า ตั้งแต่ปีพ.ศ.1836-1843 เจ้ากรุงสุพรรณภูมิได้เดินทางไปจีนถึง
2 ครั้ง
“สุพรรณภูมิ” ที่มีต้นทางมาอย่างยาวไกล จึงไม่ได้หายไปไหน
เพียงแต่เหตุการณ์พาไป และมาก่อร่างสร้างตัวขึ้นใหม่ในพุทธศตวรรษที่ 18
ถึงต้นพุทธศตวรรษที่ 19 นี่เอง.
**********
เอกสารอ้างอิง
-จดหมายเหตุจีนว่าด้วยกรุงสยามแต่โบราณ(เรียบเรียงจากจดหมายเหตุจีน
๕ เรื่อง),พิมพ์ครั้งแรกใน ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๕
พิมพ์แจกในงานศพ จางวางโท พระยารณไชยชาญยุทธ (ศุข โชติกะเสถียร) ปีมเสงนพศก
พ.ศ.๒๔๖๐.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น