เหตุใด “ขุนหลวงพ่องั่ว”
ต้องเข้าอยุธยา
ก้าวสำคัญของการย้ายฐานอำนาจจากสุพรรณภูมิสู่กรุงเทพทวารวดีศรีอยุธยา
เกิดจากสถานการณ์รอบด้านที่บีบบังคับ
ไม่มีหลักฐานใดในประวัติศาสตร์ ที่ยืนยันถึงความขัดแย้งระหว่างสุพรรณภูมิกับกรุงศรีอยุธยา
ตลอดรัชสมัยการครองราชย์ ๑๙ ปีของพระเจ้าอู่ทอง(พ.ศ.๑๘๙๓-๑๙๑๒)
แสดงให้เห็นถึงความลงตัวจากสมมุติฐานด้านความมั่นคงภายในพระราชอาณาจักรโดยขุนหลวงพ่องั่ว
และความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจที่ไหลบ่าเข้ามาจากระบบการค้าและการทูตจากการบริหารจัดการของพระเจ้าอู่ทอง
ซึ่งส่งผลให้”สุพรรณภูมิ”เป็นพระนครเต็มรูปแบบ พร้อมกับ “กรุงเทพทวารวดีศรีอยุธยา”ที่พระเจ้าอู่ทอง
ทรงสร้างสถูปปรางค์ใหญ่(วัดพุทไธศวรรย์-พ.ศ.๑๘๙๖)เป็นสัญลักษณ์พระนครอันยิ่งใหญ่คู่ขนานตามมา
พระนอนสมัยสุพรรณภูมิตอนปลาย ที่ได้รับการยอมรับว่าสวยงามที่สุดองค์หนึ่ง ปัจจุบันประดิษฐานภายในวัดพระรูป เมืองสุพรรณบุรี |
พันธะผูกพันนี้ย่อมเป็นที่รับรู้กันทั้งสองพระราชวงศ์
คือทั้งฝ่ายสุพรรณภูมิ และฝ่ายอู่ทอง
และรูปแบบนี้อาจดำเนินต่อเนื่องไปหากพระราเมศวรยึดถือหลักปฏิบัติตามพระราชบิดา จะเห็นได้ว่าไม่มีหลักฐานใดที่ระบุว่าขุนหลวงพ่องั่วขัดขวางการขึ้นครองราชย์ในแผ่นดินอยุธยาของพระราเมศวรในระยะแรกหลังสิ้นรัชกาลพระเจ้าอู่ทอง
เอกสารโบราณระบุว่า “ศักราช ๗๓๑(พ.ศ.๑๙๑๒) ปีระกา เอกศก
สมเด็จพระรามาธิบดีเสด็จสวรรคต......สมเด็จพระรามเมศวรเสด็จมาแต่เมืองลพบุรี
ขึ้นเสวยราชสมบัติ”(1) จะเห็นว่าตลอดระยะเวลาร่วมหนึ่งปีหลังการสวรรคตของพระเจ้าอู่ทอง
เมื่อพระราเมศวรเสด็จมาจากลพบุรีและสืบราชสมบัติ
ไม่มีการขัดขวางการขึ้นครองราชย์จากขุนหลวงพ่องั่วหรือพระเจ้าลุงแต่อย่างใด
ขุนหลวงพ่องั่ว ปล่อยให้เวลาผ่านไปหลายเดือนจนเกือบหนึ่งปี
จึงเสด็จมากรุงศรีอยุธยา “ครั้นถึงศักราช ๗๓๒(พ.ศ.๑๙๑๓) ปีจอ โทศก
สมเด็จพระบรมราชาธิราชเข้ามา(แต่)เมืองสุพรรณบุรี เสนาบดีกราบทูลว่า
สมเด็จพระบรมราชาธิราชเจ้าเสด็จมา สมเด็จพระรามเมศวร
ก็ออกไปอัญเชิญเสด็จเข้ามาพระนครถวายราชสมบัติ ถวายบังคมลาขึ้นไปลพบุรีดังเก่า”(2)
กรณีนี้มีนัยสำคัญที่บอกให้รู้ว่า
ขุนหลวงพ่องั่วยังคงให้พระราเมศวรครองแผ่นดินสืบต่อจากพระเจ้าอู่ทองตามกลไกการสืบทอดอำนาจ
แต่หลังจากขึ้นครองราชย์แล้ว ในระยะเวลาร่วมหนึ่งปีนั้นอยุธยาได้ดำเนินราโชบายอย่างไรต่อกรุงสุพรรณภูมิ
เพราะหากทุกอย่างดำเนินไปดุจเดียวกับสมัยพระเจ้าอู่ทอง
ขุนหลวงพ่องั่วคงไม่ต้องเดินทัพข้ามสายน้ำท่าจีน-เจ้าพระยามาพระนคร
เรื่องนี้พิเคราะห์ได้ว่า เมื่อพระราเมศวรปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่
๒ แห่งกรุงเทพทวารวดีศรีอยุธยา พระองค์ทรงยกเลิกกฎกติกาเดิม อาจด้วยพระองค์เอง หรือการยุยงของขุนนางในราชสำนัก
และด้วยวัย ๒๗ พรรษาอาจมีความเชื่อมั่นในพระองค์สูงว่าจะทรงเป็นราชาที่เหนือราชาอื่นได้
จึงละเลยธรรมเนียมปฏิบัติต่อเจ้าลุงกรุงสุพรรณภูมิโดยลืมไปว่าพระองค์ยังไม่มีพระบารมีมากพอ
และยังขาดประสบการณ์หลายด้าน
เนื่องจากพระองค์ทรงเสด็จพระราชสมภพขึ้นมาในภาวะที่บ้านเมืองสงบร่มเย็น
เป็นเจ้าชายที่ไม่เคยผ่านการรบ และตัดสินใจในภารกิจสำคัญ(1)
การหน่วงเวลาไปร่วมหนึ่งปีของขุนหลวงพ่องั่ว
อาจเป็นการดูทีท่าทางกรุงศรีอยุธยา และพระองค์อาจจะปล่อยให้เวลาผ่านไปอีกสักระยะก็ได้
หากหัวเมืองฝ่ายเหนือไม่กระด้างกระเดื่องและตั้งตัวแข็งเมืองต่อกรุงศรีอยุธยาในสภาวการณ์เปลี่ยนแผ่นดิน
และมีอีกเหตุผลหนึ่งที่สำคัญมากกว่าคือราชสำนักจีนไม่เชื่อมั่นในพระราเมศวร ด้วยเหตุนี้ขุนหลวงพ่องั่วจึงไม่อาจปล่อยให้เวลาเนิ่นนานออกไป
และตัดสินพระทัยยาตราทัพเข้ากรุงศรีอยุธยาเร่งปราบดาภิเษกเพื่อจัดระเบียบวางกฏเกณฑ์ราชสำนัก
แต่ก็ยังไม่เรียบร้อยดี ราชทูตของราชวงศ์หมิงก็เดินทางมาถึงกรุงศรีอยุธยาพอดี ดังมีบันทึกระบุว่า
“แผ่นดินหงบู๊ปีที่ ๓ แกซุด (ตรงกับปีจอจ.ศ.๗๓๒/พ.ศ.๑๙๑๓)พระเจ้าไถ่โจ๊วฮ่องเต้
(ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์หมิง) รับสั่งให้ หลุยจงจุ่น เปนราชทูต
ถือหนังสือรับสั่งไปชวนเสี้ยมหลอฮกก๊กให้เปนไมตรี”(3)
จากบันทึกของราชวงศ์หมิงกับเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงในกรุงศรีอยุธยา
เป็นช่วงเวลาที่เหมาะเจาะลงตัวอย่างมีนัยสำคัญ เพราะตามปกติแล้วเมื่อมีการเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจของประเทศใดประเทศหนึ่งจนเกิดความลงตัวแล้ว
ราชสำนักจีนจะใช้นโยบายเจริญสัมพันธไมตรีเพื่อให้มาเป็นพวกเดียวกัน ซึ่งต้องใช้เวลานานนับปีทั้งการดูทีท่าและการเดินทางของคณะราชทูตซึ่งควรจะเป็นปีรุ่งขึ้นคือพ.ศ.๑๙๑๔
แต่การเดินทางของ “หลุยจงจุ่น”อาจออกจากนครนานกิงล่วงหน้าหลายเดือน
กว่าที่ขุนหลวงพ่องั่วจะเข้ากรุงศรีอยุธยา เมื่อขุนหลวงพ่องั่วปราบดาภิเษก
ราชทูตจีนจึงมาถึงพอดี แสดงให้เห็นว่า
มีการหารือและเตรียมการระหว่างกรุงสุพรรณภูมิกับกรุงจีนมาอย่างต่อเนื่องโดยผ่านกลไกจากคนราชสำนักจีนที่ประจำอยู่เขตการค้ามะละกา
และอาจทำให้มองย้อนกลับไปได้ด้วยว่า ตลอดเวลา ๑๙ ปีในการครองราชสมบัติของพระเจ้าอู่ทอง
ขุนหลวงพ่องั่วและราชสำนักจีน มีการติดต่อสืบเนื่องกันมามิได้ว่างเว้น
อันเป็นการสนับสนุนสมมติฐานการครองแผ่นดินกรุงศรีอยุธยาภายใต้ร่มเงาของสุพรรณภูมิแจ่มชัดขึ้น
อย่างไรก็ตาม ภายหลังขุนหลวงพ่องั่วเสด็จขึ้นบรมราชาภิเษกเป็นพระเจ้าแผ่นดินกรุงเทพทวารวดีศรีอยุธยาในปีพ.ศ.๑๙๑๓
ทรงพระนาม “สมเด็จพระบรมราชาธิราช” หรือที่ราชสำนักจีนเรียกขานว่า“สมเด็จเจ้าพระยาสุรินทราราช”(2)แล้ว และหลังพิธีการเจริญสัมพันธไมตรีของคณะราชทูตจีนเสร็จสิ้น
ในปีรุ่งขึ้น พ.ศ.๑๙๑๔ ด้านหนึ่งพระองค์เร่งให้จัดเตรียมคณะราชทูตเดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีกับราชสำนักจีน และเป็นการไปแบบไปขาเดียว
เพราะไม่มีกองทัพเรือหรือสำเภาการค้าของกรุงศรีอยุธยานำคณะราชทูตไป แต่เป็นการร่วมเดินทางไปกับคณะราชทูตจีน
ดังจดหมายเหตุจีนบันทึกไว้ชัดเจนว่า
“แผ่นดินหงบู๊ปีที่ ๔ ซินหาย
(ตรงกับปีกุน จ.ศ.๗๓๓/พ.ศ.๑๙๑๔)เสี้ยมหลอฮกก๊กอ๋อง เซียนเลียดเจี่ยวปีเองี่ย (สมเด็จพระเจ้ายา)ให้ราชทูตเชิญพระราชสาสนแลพาช้างกับเต่าหกเท้า
แลสิ่งของในพื้นประเทศมาเจริญทางพระราชไมตรีพร้อมกันกับหลุยจงจุ่น...”(4)
จึงประเมินได้ว่า
เวลานั้นราชสำนักกรุงศรีอยุธยา มีภารกิจเร่งรีบหลายเรื่องที่ต้องกระทำไม่อาจเตรียมสำเภาให้พร้อมต่อการเดินทาง
จึงให้คณะทูตกรุงศรีอยุธยาล่วงหน้าไปกับคณะทูตจีน ส่วนภายในราชอาณาจักร
อีกด้านหนึ่งขุนหลวงพ่องั่ว ก็เร่งจัดเตรียมทัพไปตีหัวเมืองเหนือที่กระด้างกระเดื่อง(3)
จนสามารถปราบได้ราบคาบ(5) จากนั้นเมื่อกลับถึงพระนครพระองค์ก็จัดเตรียมคณะราชทูตขึ้นมาอีกหนึ่งชุดแล้วเดินทางไปยังกรุงจีนเพื่อสมทบกับคณะทูตชุดแรกในช่วงปีใหม่พอดี
บันทึกจีนได้ลงรายละเอียดไว้ว่า
“ในปีนั้น (พ.ศ.๑๙๑๔)
เสียมหลอฮกก๊กอ๋อง ให้ราชทูตกลับมาถวายไชยมงคลในการขึ้นปีใหม่ พระเจ้าไถ่โจ๊วฮ่องเต้
รับสั่งให้เจ้าพนักงานเอาพงษาวดารเรื่องได้ราชสมบัติ กับแพรม้วนประทานไปให้อ๋อง”(6)
“พงษาวดารเรื่องได้ราชสมบัติ”ก็คือบันทึกการครองราชย์ของพระเจ้าไถ่โจ๊วฮ่องเต้ ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์หมิง ที่เริ่มเกิดขึ้นจากกลุ่มกบฏชาวนาจนโค่นอำนาจราชวงศ์หยวน
ซึ่งฮ่องเต้ต้าหมิงต้องการแสดงให้ขุนหลวงพ่องั่ว
เชื่อถือและยอมรับในความชอบธรรมที่พระองค์ก้าวขึ้นมาปกครองจีนนั่นเอง
นับแต่นั้น
บ้านเมืองก็เริ่มเดินหน้าต่อ แม้ขุนหลวงพ่องั่วจะต้องปราบปรามหัวเมืองประเทศราชเป็นระยะ
แต่กลไกทางเศรษฐกิจก็ยังคงดำเนินไป ทั้งกับราชสำนักจีน ประเทศทางตอนใต้แถบมลายูและชวา
ส่วนทางน่านน้ำฝั่งตะวันตกก็มีอินเดีย ลังกา เปอร์เชีย และอาหรับ
คอยแวะเวียนซื้อขายแลกเปลี่ยนกันไปมา
แต่ในเวลาเดียวกันที่เมืองลพบุรี พระราเมศวร ซึ่งพลาดโอกาสสำคัญในการครองราชย์
ก็เริ่มวางแผนช่วงชิงอำนาจ...เป็นการหวังช่วงชิงอำนาจ...จากพระเจ้าลุงผู้เป็นราชาที่ไว้ชีวิตต่อพระองค์.
สถานการณ์ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
...............วิญญู บุญยงค์..............
**********
เชิงอรรถ
1.ในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ระบุว่า พระจ้าอู่ทองให้พระราเมศวร
ยกทัพไปปราบขอม ข้อมูลนี้อาจคลาดเคลื่อน ด้วยขณะนั้น พะราเมศวร มีพระชนมายุเพียง
10 พรรษา.
2.”สมเด็จเจ้าพระยาสุรินทราราช”
เป็นพระนามที่ราชสำนักจีนกล่าวถึงขุนหลวงพ่องั่ว หรือสมเด็จพระบรมราชาธิราช
โดยสะกดดังนี้ “เซียนเลียะเป๊าปี๊เองียสือลี่ตอล่อหลก”
3.พ.ศ.๑๙๑๔ พงศาวดารระบุว่า สมเด็จพระราชาธิราช
ทรงยกทัพไปตีเมืองฝ่ายเหนือและได้เมืองฝ่ายเหนือทั้งปวง
อ้างอิง
1,2. พระราชพงศาวดารกรุงสยามฉบับบริติชมิวเซียม
หน้า ๑-๓๗๐.
3,4,6.จดหมายเหตุจีนว่าด้วยกรุงสยามแต่โบราณ(เรียบเรียงจากจดหมายเหตุจีน
๕ เรื่อง),พิมพ์ครั้งแรกใน
ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๕ พิมพ์แจกในงานศพ จางวางโท พระยารณไชยชาญยุทธ (ศุข
โชติกะเสถียร) ปีมเสงนพศก พ.ศ.๒๔๖๐.
5.ศิลปากร,กรม.พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น