กระเบื้องจีนอายุพันปี
หลักฐานใต้กำแพงเมืองสุพรรณ
เศษกระเบื้องเพียงชิ้นเดียวตอกลิ่มความลังเล สำหรับการตัดสินใจกำหนดให้ สุพรรณภูมิ เป็นรัฐเริ่มต้นของอาณาจักรสยาม
ในทางประวัติศาสตร์ หัวใจที่เข้าถึงความเป็นจริงมากที่สุด
คือการศึกษาข้อมูลที่เคยมีการบันทึกไว้ในอดีตแล้วนำมาเปรียบเทียบวิเคราะห์เพื่อกลั่นเฉพาะเนื้อหาที่แท้จริงออกมา
เช่นเดียวกับการขุดค้นทางโบราณคดีจำเป็นต้องมีองค์ประกอบหลายอย่างเข้ามาอ้างอิง
ดังนั้นข้อมูลที่ได้มักเป็นข้อสันนิษฐานเสียเป็นส่วนใหญ่ และระยะเวลาที่ประเมินก็กว้างเกินกว่าจะหาข้อสรุปได้แบบกระชับ
การประเมินอายุทางโบราณคดี
หากเป็นเรื่องทั่วไปที่ไม่ได้คาบเกี่ยวกับช่วงเวลาสำคัญก็คงไม่มีข้อขัดแย้งเกิดขึ้น
หากแต่เป็นห้วงของความละเอียดอ่อนอย่างกรณี การหาข้อพิสูจน์ของรัฐเริ่มต้นในอาณาจักรสยามซึ่งมีระยะเวลาช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อไม่เกิน
๑๐๐ ปี อันนี้แหละคือปัญหา หากไม่มีข้อมูลต้นทางของฐานที่มั่นเดิม เราจะรู้ได้อย่างไรว่า
“ขุนหลวงพ่องั่ว” เป็นใคร อยู่ดี ๆก็ไปกรุงศรีอยุธยา พอพระราเมศวรถวายราชสมบัติให้
ท่านก็ขึ้นเป็นสมเด็จพระบรมราชาธิราช
ซ่งไท่จู่ฮ่องเต้ จักรพรรดิพระองค์แรกของราชวงศ์ซ่งเหนือ
(พ.ศ.๑๕๐๓-๑๕๑๙) ภาพจาก : พิพิธภัณฑ์พระราชวังกรุงไทเป
แต่ถือเป็นโชคดีของชนชาวสยาม ที่พระพุทธเจ้าหลวง รัชกาลที่ ๕
ทรงรับสั่งให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ดูแลเอกสารโบราณจากพงศาวดารจีน
จนในที่สุดก็ได้ข้อมูลของ “เสียน” ที่เป็นรัฐแรกเริ่มของอาณาจักรสยาม ดังที่ได้อธิบายไว้ใน
“สุพรรณภูมิ ๑-๘”
ใน “สุพรรรณภูมิ ๙” จึงขอนำเรื่องการขุดค้นทางโบราณคดีในบริเวณเมืองโบราณสุพรรณภูมิ
ของสำนักศิลปากรที่ ๒ กรมศิลปากร ซึ่งมีส่วนสำคัญที่สามารถนำมาเป็นองค์ประกอบของการเป็นรัฐแรกเริ่มสุพรรณภูมิ
ในการขุดค้นกำแพงเมืองโบราณสุพรรณภูมิ ด้านทิศเหนือ ใต้ และตะวันออก
ของสำนักศิลปากรที่ ๒ กรมศิลปากร ก่อนหน้านี้มีการวิเคราะห์
โดยแบ่งชั้นทับถมทางโบราณคดีออกเป็น ๔ ชั้น(1) ที่น่าสนใจคือชั้นที่ ๒
จัดอยู่ในชั้นดินที่ ๓ มีการพบเศษเครื่องปั้นดินเผาและภาชนะอื่น ๆที่มีในสยาม
และอีกส่วนหนึ่งเป็น “..เครื่องถ้วยจีนเคลือบสีเขียวสมัยราชวงศ์หยวน...”(พ.ศ.๑๘๑๔-๑๙๑๑)
ในชั้นที่ ๓ จัดอยู่ในชั้นดินที่ ๔ พบเศษเครื่องปั้นดินเผาและภาชนะในสยามเช่นกัน ส่วนของต่างประเทศ
“..พบเศษภาชนะดินเผาเนื้อแกร่งและเนื้อกระเบื้องซึ่งมีแหล่งผลิตในประเทศจีนสมัยราชวงศ์สุ้ง...”
(ซ่ง,ซ้อง พ.ศ.๑๕๐๓-๑๘๒๒) ราชวงศ์หยวน (พ.ศ.๑๘๑๔-๑๙๑๑)” และสำหรับชั้นที่ ๔
จัดอยู่ในชั้นดินที่ ๕ และ ๖ พบเศษภาชนะดินเผาเครื่องปั้นของสยาม และ “...ยังพบเศษเครื่องถ้วยจีนเคลือบขาวแบบชิงไป๋
สมัยราชวงศ์สุ้ง และเครื่องถ้วยจีนเคลือบเขียวเซลาดอน ราชวงศ์หยวน...” และเมื่อนำข้อมูลทั้งหมดมาประมวลภาพรวมเข้าด้วยกัน
จึงมีการสันนิษฐานว่า “..กำแพงเมืองโบราณอาจสร้างอยู่ในช่วงระหว่างพุทธศตวรรษที่
๑๙-๒๐”
จากข้อมูลข้างต้น ก็ทำให้ทราบอายุคร่าว ๆของกำแพงเมืองสุพรรณภูมิ
ที่มีอายุตั้งแต่ พ.ศ.๑๘๐๑-๑๙๙๙ ซึ่งเป็นความหมายของพุทธศตวรรษที่ ๑๙-๒๐
ตามที่กรมศิลปากรสันนิษฐาน
แต่เมื่อพิจารณาข้อมูล เศษเครื่องกระเบื้องเคลือบของราชวงศ์ซ่ง
ซึ่งไม่มีรายงานระบุว่าเป็นหัตถกรรมในช่วงเวลาใดของราชวงศ์นี้ เพราะราชวงศ์ซ่ง มี
๒ ระยะ กล่าวคือ ราชวงศ์ซ่งเหนือ (พ.ศ.๑๕๐๓-๑๖๗๐) และราชวงศ์ซ่งใต้
(พ.ศ.๑๗๐๕-๑๘๒๒) รวมตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางนานถึง ๓๑๙ ปี แต่ก็พอมีหลักฐานข้อมูลในบันทึกของชาวตะวันตกออกมาให้เห็นอยู่แม้จะไม่ระบุโดยตรงว่าราชวงศ์ซ่งติดต่อกับสยาม
แต่ก็มีระบบการค้าเป็นตัวเชื่อมอย่างไม่อาจปฏิเสธ โดยแฟร์แบงค์กับไรสชาวร์ (2)
สองนักประวัติศาสตร์จีนชาวตะวันตกมองว่า “ สมัยซ่งถือเป็นจุดกำเนิดของ
การปฏิวัติพาณิชยกรรม ในประเทศ โดยในสมัยซ่งใต้
การค้าภายในประเทศกับต่างประเทศมีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างมาก
โดยพ่อค้าจีนมีการค้าผ่านทางทะเลกับเกาหลี ญี่ปุ่น
และดินแดนในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้...สำหรับสาเหตุสำคัญที่การค้าทางทะเลขยายตัวขึ้นอย่างมากก็เนื่องมาจาก
เส้นทางการค้าทางบกที่เรียกว่าเส้นทางสายไหม ตกไปอยู่ภายใต้การควบคุมของอาณาจักรซีเซี่ยและจิน
ทำให้พ่อค้าชาวจีนต้องหันไปใช้เรือขนส่งสินค้าแทน ผลที่ตามมาก็คือ
พ่อค้าทางทะเลเพิ่มขึ้นอย่างมาก ส่วนเมืองต่าง ๆ ริมชายฝั่งทะเลก็เพิ่มความสำคัญขึ้นเรื่อย
ๆ..”
ภาพสำเภาโบราณที่จีนใช้ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง
ภาพจาก อ.ประพฤทธิ์ กุศลรัตนเมธี
ผู้เชี่ยวชาญด้านการสืบค้นประวัติศาสตร์จีนที่เกี่ยวข้องกับไทย
จึงพอสรุปได้ว่า จีนมีการติดต่อกับสยามทางการค้าในสมัยราชวงศ์ซ่งใต้
แม้จะไม่มีข้อมูลยืนยันชัดเจนว่า เป็นการติดต่อกันในระดับราชวงศ์ต่อราชวงศ์
หรือพ่อค้าจีนต่อราชสำนักสยาม แต่ก็ถือได้ว่ามีการติดต่อกันในระหว่างพ.ศ.๑๖๗๐-๑๘๒๒
สอดคล้องกับการล่มสลายของอิทธิพลขอมนับตั้งแต่สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗
ในราวปีพ.ศ.๑๗๕๐ เป็นต้นมา จนเกิดรัฐแคว้นใหม่ขึ้น ในจำนวนนี้มี
สุพรรณภูมิในลุ่มน้ำเจ้าพระยา และสุโขทัยทางตอนเหนือ รวมอยู่ด้วย
นอกจากนี้ยังมีข้อสังเกตประการหนึ่งว่าเครื่องกระเบื้องเคลือบในสมัยราชวงศ์ซ่งที่พบระหว่างขุดค้นทางโบราณคดีบริเวณกำแพงเมืองโบราณสุพรรณภูมิเท่านั้น
ในเมืองอื่นพบเพียงเครื่องเคลือบสมัยราชวงศ์หยวน ราชวงศ์หมิง และราชวงศ์ชิง อาทิ “ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
พบไหแปดเหลี่ยมจากวัดมหาธาตุและไหทรงกลมจากป้อมเพชร ที่จังหวัดเชียงใหม่พบไหทรงกลมจากเวียงท่ากาน
ที่จังหวัดลำพูน พบไหทรงกลมและทรงแปดเหลี่ยมจากพระธาตุหริภุญชัย
และที่จังหวัดสุโขทัย พบไหทรงกลมจากกรุวัดพระพายหลวง”(3) โดยอยู่ในสมัยราชวงศ์หยวนและหมิง
ซึ่งน่าเข้าไปจากต้นทางเมืองสุพรรณภูมิที่ควบคุมพื้นที่ทะเลทั้งแถบอันดามันและอ่าวไทยในช่วงพุทธศตวรรษที่๑๘
เป็นต้นมา
จักรพรรดิซ่งเกาจง ฮ่องเต้พระองค์แรกราชวงศ์ซ่งใต้
(พ.ศ.๑๗๐๕-๑๗๓๐) ภาพจาก : พิพิธภัณฑ์พระราชวังกรุงไทเป
ส่วนกรณีราชวงศ์หยวน (พ.ศ.๑๘๑๔-๑๙๑๑) ถือเป็นที่ชัดเจนแล้วจาก “หยวนสือลู่”
ที่มีการแปลไว้ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยหลวงเจนจีนอักษร(สุดใจ)
เป็นผู้แปล ที่ระบุว่าราชวงศ์หยวน มีการติดต่อกับราชสำนักสยามผ่านพระราชพิธีทางการทูตนับตั้งแต่ปีพ.ศ.๑๘๒๕
จนถึงพ.ศ.๑๘๔๓(4)
ถึงเวลานี้ “หยวนสือลู่”
หรือพงศาวดารราชวงศ์หยวนยืนยันถึงการมีรัฐสุพรรณภูมิบนแผ่นดินสยามอย่างน้อยในปีพ.ศ.๑๘๒๕
นับตั้งแต่ราชสำนักหยวนส่งราชทูตมาเจริญสัมพันธไมตรีกับพระเจ้ากรุงสยามเป็นครั้งแรก
และหลักฐานจากเศษกระเบื้องเคลือบในสมัยราชวงศ์ซ่ง ซึ่งย้อนเวลาขึ้นไปอีกอย่างน้อยถึงปีพ.ศ.๑๗๐๕ หรือตั้งแต่ต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๘ เพียงเท่านี้
ก็พอจะให้ภาพชัดถึงความเป็นจุดเริ่ม “อาณาจักรสยาม” ได้แล้วกระมัง.
เศษกระเบื้องหลักฐานการสร้างชาติ
...........วิญญู
บุญยงค์.............
*********
อ้างอิง
1.ฉันทัส
เพียรธรรม.เอกสารประกอบการเสวนา “ปักหมุดเส้นเวลาย้อนอดีตเมืองโบราณสุพรรณภูมิฯ”(20
เม.ย.2561).การสังเคราะห์องค์ความรู้ปรวัติศาสตร์รัฐสุพรรณภูมิ จังหวัดสุพรรณบุรี
ด้วยกระบวนการการมีส่วนร่วม.หน้า283-284.
2.วิกิพีเดีย
สารานุกรมเสรี.ราชวงศ์ซ่ง อ้างถึง แฟร์แบงค์ และไรสชาวร์.
3.อชิรัชญ์
ไชยพจน์พานิช.ลวดลายกับการกำหนดอายุไหลายคราม
สมัยราชวงศ์หยวนที่พบในประเทศไทย. http://www.damrong-journal.su.ac.th/upload/pdf/58_8.pdf.
4.ประชุมพงศาวดารภาคที่
๕.จดหมายเหตุว่าด้วยกรุงสยามแต่โบราณ(เรียบเรียงจากจดหมายเหตุจีน ๕ เรื่อง).แปลโดย
หลวงเจนจีนอักษร(สุดใจ).
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น