ขุนหลวงพ่องั่ว
ราชันย์ ที่ต้าหมิงต้องจารึก
ขุนหลวงพ่องั่วส่งเจ้านครอินทร์เป็นราชทูตไปจีนตั้งแต่พระชนม์ ๑๒ พรรษา ขณะสถานการณ์ภายในยังครุกรุ่นด้วยสงครามและแผนการโค่นล้มราชบัลลังก์
ราชสำนักจีนมีอิทธิพลต่อรัฐแคว้นทางแถบใต้อยู่ไม่น้อย
แม้จะอยู่ห่างไกลกัน แต่หากมีความสัมพันธ์อันดีต่อจีนก็เสมือนเป็นเกราะกำบังได้เป็นอย่างดี
สมเด็จพระบรมราชาธิราชเจ้า (ขุนหลวงพ่องั่ว) จึงดำเนินพระราโชบายกระชับความสัมพันธ์กับจักรวรรดิต้าหมิงมาตั้งแต่เริ่มต้นรัชกาลหลังจากหมิงไท่จงฮ่องเต้ส่งคณะราชทูตมาเจริญความสัมพันธ์
มีเหตุผลอันเชื่อได้ว่าขุนหลวงพ่องั่วซื้อใจจักรพรรดิต้าหมิง
ด้วยการส่งพระราชโอรสเป็นราชทูตไปเจริญสัมพันธไมตรีตั้งแต่ครั้งแรกหลังจากพระองค์ขึ้นครองราชย์ในกรุงเทพทวารวดีศรีอยุธยา
จูหยวนจาง หมิงไท่จงฮ่องเต้ แห่งจักรวรรดิต้าหมิง (พ.ศ.๑๘๗๑-๑๙๔๑)
ภาพจาก : วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
บันทึกของจีนจากพงศาวดารยี่จับสี่ซื้อ(1)ระบุว่าในปีพ.ศ.๑๙๑๔
“...เสี้ยมหลอฮกก๊กอ๋อง เซียนเลียดเจี่ยวปีเองี่ย(สมเด็จเจ้าพระยา)ให้ราชทูตเชิญพระราชสาสนแลพาช้างกับเต่าหกเท้า(1)แลสิ่งของในพื้นประเทศมาเจริญทางพระราชไมตรีพร้อมกันกับหลุยจงจุ่น(ชื่อราชทูตจีน)...”
และยังมีข้อมูลขยายความจากหนังสือหมิงสือลู่(บันทึกเกี่ยวกับราชวงศ์หมิง) ที่ระบุว่าเป็น “เดือนกันยายน” และราชทูตที่นำคณะไปในครั้งนี้ชื่อ“เจ้าอังกุ”(2)
แต่ในหนังสือหมิงสือลู่-ชิงสือลู่ (พ.ศ.2559) ระบุชัดเจนว่า "...หลี่จงจิ้น เดินทางกลับจากราชอาณาจักรสยาม ซานเลี่ยเจาผีหยา กษัตริย์แห่งอาณาจักรนั้น ทรงแต่งตั้งราชทูตนามว่า เจาเอี้ยนกูหมาน แลคณะติดตามหลี่จงจิ้นมาเข้าเฝ้า..” ซึ่งดร.วินัย พงศ์ศรีเพียร บรรณาธิการและผู้แปล ให้ความหมายของ “เจาเอี้ยนกูหมาน”ว่า คือ”เจ้าอินทรกุมาร”(3)
แต่ในหนังสือหมิงสือลู่-ชิงสือลู่ (พ.ศ.2559) ระบุชัดเจนว่า "...หลี่จงจิ้น เดินทางกลับจากราชอาณาจักรสยาม ซานเลี่ยเจาผีหยา กษัตริย์แห่งอาณาจักรนั้น ทรงแต่งตั้งราชทูตนามว่า เจาเอี้ยนกูหมาน แลคณะติดตามหลี่จงจิ้นมาเข้าเฝ้า..” ซึ่งดร.วินัย พงศ์ศรีเพียร บรรณาธิการและผู้แปล ให้ความหมายของ “เจาเอี้ยนกูหมาน”ว่า คือ”เจ้าอินทรกุมาร”(3)
เจ้าอินทรกุมาร ขณะนั้นอยู่ในวัยเพียง ๑๒ ชันษาเท่านั้น เมื่อไปถึงราชสำนักจีนในบันทึกยี่จับสี่ซื้อระบุว่า “...พระเจ้าไถ่โจ๊วฮองเต้(2)รับสั่งให้เจ้าพนักงานเอาแพรม้วนประทานไปให้อ๋อง กับประทานผ้าม้วนให้ราชทูตด้วย” ซึ่งผ้าแพรผ้าม้วนที่ว่านี้ปกติฮ่องเต้จีนจะพระราชทานให้กับกษัตริย์หรือราชวงศ์ระดับสูงเท่านั้น การพระราชทานผ้าม้วนให้ราชทูต ยืนยันได้ว่าราชทูตมีความสำคัญมาก และไปสอดรับกับบันทึกฉบับเดียวกันระบุพ.ศ.๑๙๑๗หรือ ๓ ปีต่อมาว่า
“...ในปีนั้นสี่จื๊อ(3)ของซูมั่นบังอ๋อง(4)ชื่อ เจี่ยวหลกควานอิน(เจ้านครอินทร์)ให้ราชทูตถือหนังสือมาถวายฮองไถ่จื้อ(พระราชโอรส)และมีสิ่งของในพื้นประเทศมาถวาย พระเจ้าไถ่โจ๊วฮองเต้รับสั่งให้เจ้าพนักงานนำราชทูตเข้าเฝ้าตงกง(มเหสี)แล้วก็ให้เลี้ยงดูราชทูตกับประทานสิ่งของตอบแทนให้ราชทูตนำกลับไปให้สี่จื๊อ” องค์ฮองไถ่จื๊อหรือพระราชโอรสพระองค์นี้ ต่อมาก็คือจักรพรรดิหย่งเล่อ ผู้สร้างตำนานอาณาจักรบนมหาสุมทรที่ควบคุมโดยขันทีเจิ้งเหอนั่นเอง
จะเห็นได้ว่า เจ้านครอินทร์ ทรงรู้จักกับพระราชโอรสมาก่อน
มิใช่จู่ ๆก็จะให้ราชทูตถือหนังสือไปกับคณะ ปัจจัยสนับสนุนคือฮ่องเต้ต้าหมิงก็ทรงอำนวยความสะดวกให้ราชทูตเป็นอย่างดี
พร้อมกับพระราชทานสิ่งของกลับมาให้เจ้านครอินทร์
จากพระราชดำริของขุนหลวงพ่องั่ว เจ้านครอินทร์ดูจะเป็นที่โปรดปรานต่อหมิงไท่จงฮ่องเต้อยู่มาก
เห็นได้จากในปีพ.ศ.๑๙๒๐ ขณะเจ้านครอินทร์มีพระชนมายุ ๑๘ พรรษา บันทึกราชวงศ์หมิงจารึกอักษรว่า
“ซูมั่นบังอ๋องให้สี่จื้อ ชื่อ เจี่ยวหลกควานอิน มาเฝ้า
พระเจ้าไถ่โจ๊วฮองเต้มีความยินดี รับสั่งให้ยงไวล่าง...ตอบราชสาสน
กับตราไปให้อ๋องดวงหนึ่ง อักษรในดวงตรามีว่า เสี้ยมหลอก๊กอ๋องจืออิ่น แลประทานเครื่องยศกับค่าใช้จ่ายในระหว่างไปมาให้แก่สี่จื้อเจี่ยวหลกควานอิน
ตั้งแต่นั้นต่อไป ก็เรียกชื่อประเทศตามอักษรในดวงตราว่า เสี้ยมหลอก๊ก...”(4)
ในดวงตราที่มีอักษรว่า
เสี้ยมหลอก๊กจืออิ่น เคยมีการขยายความมาแต่ชั้นเดิมว่าหมายถึง ตราของเสี้ยมหลอก๊กอ๋อง
อาจไม่ตรงนัก แต่ควรจะเป็นตราตั้งมีความหมายถึงการแสดงออกของราชสำนักจีนที่เห็นชอบว่า
เจ้านครอินทร์คือองค์รัชทายาทเสี้ยมหลอก๊ก
จึงใส่อักษร”จือ”(สี่จื๊อ)และ“อิน”(เจ้านครอินทร์)ลงไป พร้อมกันนี้จักรพรรดิหมิงไท่จงได้พระราชทาน“เครื่องยศ”ซึ่งต้องเป็นเครื่องยศแบบองค์รัชทายาทราชสำนักจีนเช่นกัน
อาจเป็นจุดนี้กระมังที่มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า ฮ่องเต้ต้าหมิงทรงรับเจ้านครอินทร์เป็นพระราชโอรสบุญธรรม นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายในการเดินทางแก่เจ้านครอินทร์
ถือเป็นกรณีพิเศษที่ราชสำนักจีนได้กระทำ
จักรพรรดิหย่งเล่อ (พ.ศ.๑๙๐๓-๑๙๖๗) พระสหายในเยาว์วัยกับเจ้านครอินทร์
มีบทบาทสำคัญในรัชกาลสมเด็จพระนครินทราธิราช (ภาพจาก : วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี)
สิ่งที่เป็นข้อสังเกตอย่างหนึ่ง คือตราประทับที่หมิงไท่จงฮ่องเต้
รับสั่งให้ราชทูตนำมาถวายขุนหลวงพ่องั่ว ระบุอักษร “เสี้ยมหลอก๊กจืออิ่น”และหลังจากนั้นชื่อ“เสี้ยมหลอฮกก๊ก”ที่เคยถูกเรียกขานมาแต่เดิม ก็ถูกเรียกตามตราประทับใหม่ว่า “เสี้ยมหลอก๊ก” โดยตัดคำว่า “ฮก”ออกไป
คำว่า“ฮก”ในภาษาจีนแต้จิ๋ว หรือคำว่า“หู”ในภาษาจีนกลางนั้น ออกเสียงมาจากคำว่า“ละโว้” เพราะฉะนั้นการตัดคำว่า“ฮก” หรือ “หู” ออกไปก็เท่ากับตัด “ละโว้” ออกไปนั่นเอง
ดูแล้วเป็นเรื่องใหญ่ เพราะอาจหมายรวมถึงการเปลี่ยนแปลงภายในพระราชอาณาจักรทีเดียว
แต่เรื่องนี้ก็มีนัยสำคัญซ่อนอยู่
เหตุผลนั้น น่าจะอยู่ที่ ในระยะต้นรัชกาลของสมเด็จพระบรมราชาธิราช
หลังจากที่ได้เจริญสัมพันธไมตรีต่อราชสำนักต้าหมิงราว ๓ ครั้งแล้ว ในปีพ.ศ.๑๙๑๖
ท้าวอินทรสุรินทรในพระเจ้าอู่ทองซึ่งเป็นพระขนิษฐาของขุนหลวงพ่องั่วและเป็นพระราชมารดาพระราเมศวร
ส่งสาส์นไปยังราชสำนักจีน ดังในบันทึกระบุดังนี้
“ในปีนั้น
(พ.ศ.๑๙๑๖)นางเซียนเลียะซือลิ่ง (สมเด็จสุรินทร) ซึ่งเป็นพระพี่นาง
(ความเป็นจริงเป็นพระน้องนางขุนหลวงพ่องั่ว)ของเสี้ยมหลอฮกก๊กอ๋อง
ให้ราชทูตเชิญพระราชสาสนซึ่งจารึกอักษรแผ่นทองคำ กับสิ่งของในพื้นประเทศมาถวายตงกง(พระมเหสี)ตงกงไม่รับ”
และในปีเดียวกันนั้นเอง ท้าวอินทรสุรินทร
ได้ส่งราชทูตกลับไปอีกครั้งเพื่อเข้าเฝ้าหมิงไท่จงฮ่องเต้ “นางเซียนเลียะซื่อลิ่ง
ให้ราชทูตนำสิ่งของกลับมาถวายอีก พระเจ้าไถ่โจ๊วฮองเต้ก็ไม่ทรงรับ..”(5)
เหตุการณ์ครั้งนี้
พงศาวดารจีนได้บันทึกอธิบายเพิ่มเติมด้วยว่า “ ครั้งนั้นเสี้ยมหลอฮกก๊ก อ๋อง(พระราเมศวร)ไม่ปรีชาสามารถ
ชาวประเทศก็เชิญเซียนเลียะเป๊าปี๊เองี่ยสือลี่ตอล่อหลก
(สมเด็จเจ้าพระยาสุรินทราราช)ลุงของเสี้ยมหลอฮกก๊กอ๋องขึ้นครองราชย์สมบัติ
แล้วจัดให้ทูตมาทูลข้อความเรื่องนี้...”(6)
จะเห็นได้ว่าจักรพรรดิหมิง
ผู้เป็นเจ้าของตำนานโค่นราชวงศ์หยวนอันลือลั่น
ทรงรู้เท่าทันถึงความพยายามของพระราเมศวรขณะพระชนมายุ ๓๑ พรรษา
และยังปรารถนาจะกลับสู่ราชบัลลังก์อีกครั้ง
โดยใช้ช่องทางผ่านพระราชมารดาที่เคยมีราชฐานันดรเป็นพระมเหสี เพื่อเข้าทางตงกงในฐานะพระมเหสีเช่นกัน
เมื่อไม่ได้ผลก็เข้าทางตรงที่องค์จักรพรรดิ แต่ผลก็เป็นเช่นเดิม
ความพยายามของพระราเมศวรในครั้งนั้น
ได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในราชวงศ์อู่ทองและราชสำนักละโว้
เพราะไม่มีหลักฐานใดในพงศาวดารของจีนที่ระบุถึงการครองราชย์ของพระราเมศวร
และพระรามราชาหลังการสิ้นพระชนม์ของขุนหลวงพ่องั่ว แต่กลับเป็นเจ้านครอินทร์
พระราชโอรสสายตรงซึ่งเป็นที่ชื่นชมของจักรพรรดิต้าหมิง
บันทึกเอกสารจีนในราชวงศ์หมิง ระบุปีพ.ศ.๑๙๓๘
“สี่จื๊อเจี่ยวหลกควานอิน ให้ราชทูตนำราชสาสนกับสิ่งของในพื้นประเทศมาถวาย
ในราชสาสนมีความว่า พระบิดาสิ้นพระชนม์...” เมื่อจักรพรรดิ หมิงไท่จง ทรงสดับความ
จึงส่งขุนนางราชสำนักมายังราชอาณาจักรสยามทันที
“แผ่นดินหงบู๊ปีที่ ๒๘
อิดหาย(ตรงกับปีกุน จ.ศ.๗๕๗/พ.ศ.๑๙๓๘)...พระเจ้าไถ่โจ๊วฮองเต้
รับสั่งให้จงวาง(ขุนนางในกรมขันที)ชื่อจ๋าวตะ นำราชสาสนกับเครื่องสังเวยไปคำนับศพ
แลยกย่องสี่จื้อเจี่ยวหลกควานอินเปนอ๋อง กับพระราชทานสิ่งของไปเป็นอันมาก”(7)
ในราชสาส์นที่จักรพรรดิหมิงรับสั่งให้จงวางจ๋าวตะ
อัญเชิญมา มีใจความว่า
“ตั้งแต่เราครองราชย์สมบัติมานี้
ได้แต่งราชทูตออกไปนานาประเทศ ตามธรรมเนียมของวงษ์จิว(จู)ทั่วทั้งสี่ทิศถึงสามสิบหกประเทศ
ภาษาพูดพ้องกันสามสิบเอ็ดประเทศ แต่แบบธรรมเนียมนั้นต่างกัน
สมัยโน้นจึงมีประเทศใหญ่สิบแปดประเทศ ประเทศน้อยสี่สิบเก้าประเทศมาขึ้นวงษ์จิว
เป็นแบบธรรมเนียมนับเนื่องมาถึงปัตยุบัน
ครั้งนี้
เสี้ยมหลอก๊กกับประเทศเราก็ไม่ใกล้กัน คราวนี้ราชทูตของท่านไปถึงเราทราบว่าเชยอ๋อง(อ๋ององค์ที่ล่วงลับ)ของท่านสิ้นพระชนม์
ขอให้อ๋องปกครองประเทศตามประเพณีของเชยอ๋องโดยความยุติธรรม ขุนนางแลราษฎรก็คงจะชื่นชมยินดี
บัดนี้เราจัดให้ขุนนางนำหนังสือยกย่องมาให้ท่าน
ขอให้อ๋องปกครองประเทศอย่าให้ผิดแบบธรรมเนียม
แลอย่าได้เพลิดเพลินในกามคุณแสวงหาความสำราญ ประเพณีของเซยอ๋องจึ่งจะเจริญ
ขอให้ท่านประพฤติตามคำของเรานี้เถิด”
สาระสำคัญของพระราชสาส์นฉบับนี้ ได้บอกให้คนรุ่นเรารับรู้ว่า
จักรพรรดิต้าหมิงทรงเทิดพระเกียรติยศสมเด็จพระบรมราชาธิราชเจ้าที่บริหารปกครองประเทศมาเป็นอย่างดีทุกด้าน
ทั้งทรงยกย่องเจ้านครอินทร์เป็นพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ต่อไป และชัดเจนกับประโยคที่ว่า
“เสี้ยมหลอก๊กกับประเทศเราก็ไม่ใกล้กัน” ซึ่งความหมายนั้นย้ำว่า พระราชบิดาของเจ้านครอินทร์เป็น
“เสี้ยมหลอก๊กอ๋อง” ซึ่งก็คือ สมเด็จพระบรมราชาธิราช หรือขุนหลวงพ่องั่ว นั่นเอง
พระเจดีย์ และปรางค์ใหญ่สัญลักษณ์สุพรรณภูมิ
ราชสำนักจีนเรียกเมืองนี้ว่า”กรุงพระนครศรีทวารวดี”
พระเจดีย์ และปรางค์ใหญ่สัญลักษณ์สุพรรณภูมิ
ราชสำนักจีนเรียกเมืองนี้ว่า”กรุงพระนครศรีทวารวดี”
การส่งเจ้าอินทรกุมารไปในครั้งแรกของการเจริญราชไมตรีหลังการเข้าควบคุมพระนครศรีอยุธยาของขุนหลวงพ่องั่ว
นับมีส่วนสำคัญต่อสัมพันธไมตรีระหว่างสองราชวงศ์เป็นอย่างมาก เป็นความกล้าหาญในการตัดสินพระทัยที่ส่งพระราชโอรสวัย
๑๒ ชันษาข้ามน้ำข้ามทะเลไปกับคณะราชทูตจีน และถือเป็นการซื้อใจจักรพรรดิหมิงไท่จงได้เป็นอย่างดี
จะเห็นว่าองค์จักรพรรดิทรงให้ความเอ็นดูต่อเจ้านครอินทร์เป็นอย่างมาก
และทรงให้ความสำคัญต่อขุนหลวงพ่องั่วเสมอมาในระดับการกระชับความสัมพันธ์ที่มีการติดต่อกันมาต่อเนื่องไม่น้อยกว่า
๑๕ ครั้ง แน่นอนว่าพระองค์จะต้องล่วงรู้ความเป็นมาของขุนหลวงพ่องั่วในบริบทของราชานักรบและนักปกครองเป็นอย่างดี
ขณะที่พระองค์ก็เอาชีวิตเป็นเดิมพันต่อสู้มาอย่างหนักกว่าจะก้าวขึ้นเป็นจักรพรรดิจีนได้
ข้อสังเกตอีกประการหนึ่ง หมิงไท่จงฮ่องเต้ทรงให้ความสำคัญกับขุนหลวงพ่องั่ว
และเจ้านครอินทร์ จึงรับสั่งให้การถอดความจากพระราชสาส์นที่พระองค์ส่งมายังสยามจารึกลงในพงศาวดารให้เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์สืบไป
บันทึกในพงศาวดารจีนฉบับยี่จับสี่ซื้อ
ระบุถึงการครองราชย์ของขุนหลวงพ่องั่ว ในราชธานี“พระมหานครศรีอยุทธยา”(ชื่อเมืองหลวงที่จีนเรียก)(5)เริ่มจากปีพ.ศ.๑๙๑๓
จนถึงพ.ศ.๑๙๓๘ ยาวนานถึง ๒๕ ปี และจักรพรรดิทรงยกย่องให้ สี่จื๊อเจี่ยวหลกควานอิน(องค์รัชทายาท)
เป็นอ๋องขณะที่เจริญพระชนมายุ ๓๖ พรรษา และต่อมาพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นี้ ก็ทรงนำพาสยาม
สานต่อความมั่งคั่งตามปณิธานอันยิ่งใหญ่ของสมเด็จพระราชบิดา
เป็นที่น่าเสียดายว่า
แม้แต่จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่แห่งจักรวรรดิต้าหมิง ยังยกพระเกียรติขุนหลวงพ่องั่ว จนต้องบันทึกลงในพระราชพงศาวดาร
แต่คนไทยส่วนใหญ่ ยังไม่รู้จักพระองค์...แม้แต่รูปเคารพเล็ก ๆสักองค์ยังไม่มีให้ชื่นชมบูชา.
ความยิ่งใหญ่อาจมีคุณค่าเพียงตำนาน
..............วิญญู บุญยงค์..............
**********
เชิงอรรถ
(1).เต้าหกเท้า คล้ายเต้าทั่วไป
แต่มีเดือยกระดูกอยู่ระหว่างขาหลังกับหางด้านละอัน
ใช้สำหรับยันพื้นตอนเดินขึ้นเนินจึงดูเหมือนมีหกขา ขนาดลำตัวโตเต็มที่หนักประมาณ
30-40 ก.ก. ในอดีตมีอยู่มากทั้งในสยาม และประเทศใกล้เคียง
(3)สี่จื้อ แปลว่า พระราชโอรสที่จะได้ราชสมบัติ
(4)ซูมั่นบังอ๋อง
คือคำที่ราชสำนักจีนราชวงศ์หมิงใช้เรียกพระเจ้าแผ่นดินแทนการใช้พระนามเต็ม
เช่นในบันทึกราชสำนักจีน เรียกกษัตริย์ เจียมเสียก๊ก(จามปา)ว่า ซูมั่นตะล้า
(5)ราชสำนักจีนเรียก “กรุงพระมหานครศรีอยุทธยา”
อ่านสะกดทับศัพท์ในสำเนียงแต้จิ๋วว่า “กู๊โล่งพะละม้าฮู้ลกควนสีเอี่ยวธีย่า”
อ้างอิง
1,,4,5,6,7.จดหมายเหตุจีนว่าด้วยกรุงสยามแต่โบราณ(เรียบเรียงจากจดหมายเหตุจีน
๕ เรื่อง),พิมพ์ครั้งแรกใน
ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๕ พิมพ์แจกในงานศพ จางวางโท พระยารณไชยชาญยุทธ (ศุข
โชติกะเสถียร) ปีมเสงนพศก พ.ศ.๒๔๖๐.
2.ต้วน ลี เชิง,รศ.พลิกต้นตระกูลไทย(ข้อมูลจากหนังสือหมิงสือลู่(บันทึกเกี่ยวกับราชวงศ์หมิง).สำนักพิมพ์พิราบ.พิมพ์ครั้งที่
2.พศ.2521.
3.หมิงสือลู่-ชิงสือลู่ บันทึกเรื่องจริงแห่งราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง.จัดพิมพ์โดยมูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี.กรุงเทพฯ.2559.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น