ไม่มีม่านมืดประวัติศาสตร์สุพรรณภูมิ
รัชกาลที่.๕
ทรงพระราชทานให้นานแล้ว
ข้อมูลเกี่ยวกับ "สุพรรณภูมิ" ในฐานะรัฐแรกเริ่มของอาณาจักรสยามนั้น
ไม่เคยหายไปไหน ผู้ที่ศึกษาประวัติศาสตร์ทุกคนคงเคยอ่านเคยสัมผัส แต่ในอดีตไม่ได้ให้ความสำคัญนัก
อาจเพราะการอ่านยาก หรือการตีความที่ยังไม่ชัดเจน
ทำให้ผู้ศึกษาต้องเปลี่ยนใจไปตั้งหลักใหม่
แท้ที่จริงแล้ว เรื่องความเป็นมาของสยาม
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานให้คนไทยทั้งประเทศตั้งแต่ปลายรัชกาล
โดยหลวงเจนจีนอักษร(สุดใจ) พนักงานหอพระสมุดวชิรญาณ แปลถวายจากหนังสือจีน ๓ ฉบับ
คือ หนังสือคิมเตี้ยซกทงจี่ หนังสือหวงเฉียวบุ๋นเหี่ยนทงเค้า
และหนังสือยี่จั๋บสี่ซื้อ ตอนเหม็งซื้องั่วก๊กเลี่ยต้วน
ถูกจัดพิมพ์เป็นหนังสือในชื่อ “จดหมายเหตุจีนว่าด้วยกรุงสยามแต่โบราณ(เรียบเรียงจากจดหมายเหตุจีน
๕ เรื่อง)” และในคราวต่อ ๆมา ได้รับการจัดพิมพ์ในชื่อ "จดหมายเหตุเรื่องพระราชไมตรีในระหว่างกรุงสยามกับกรุงจีน"
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงให้ความสำคัญกับประวัติศาสตร์สยามอย่างมาก
โดยหลวงเจนจีนอักษร(สุดใจ) จากหอสมุดวชิรญาณ ได้เป็นผู้แปล "จดหมายเหตุจีนว่าด้วยกรุงสยามแต่โบราณฯ"ถวาย
ภาพจาก : วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
หนังสือฉบับนี้เป็นพระราชพงศาวดารจีนที่กล่าวถึงพระราชไมตรีที่กรุงสยามได้มีมากับกรุงจีน
ตั้งแต่สมัยแรกเริ่มอาณาจักรสยามจากราชธานีรัฐสุพรรณภูมิ ก่อนย้ายไปพระนครศรีอยุธยา
กรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์
เหตุที่เกิดภาพไม่ชัดทางประวัติศาสตร์
มีเหตุผลสำคัญอยู่ด้วยกันหลายประการ อาทิ การกำหนดให้สุโขทัยเป็นรัฐแรกเริ่มจากหลักฐานศิลาจารึกหลักที่
๑ สมัยพ่อขุนรามคำแหง จึงเรียงสมัยเป็น สุโขทัย ลพบุรี อยุธยา ธนบุรี
จนถึงรัตนโกสินทร์ ในจำนวนนี้ไม่มี สุพรรณภูมิ และกลุ่มเมืองบริวารที่กระจายตัวอยู่บริเวณที่ราบลุ่มเจ้าพระยา
แม้จะมีซากโบราณสถานอายุกว่า ๒,๐๐๐ ปีที่อู่ทอง
และซากโบราณสมัยสุพรรณภูมิกระจายอยู่ทั่วไปก็ตาม นอกจากนั้นการตีความในลำดับราชวงศ์
และลำดับปีพุทธศักราช เป็นไปตามพระราชพงศาวดารที่มีมาแต่เดิมและถูกเรียบเรียงขึ้นใหม่ ข้อมูลจากพงศาวดารจีนจึงถูกจัดเข้าหมวดตามที่วางไว้ในพงศาวดารไทย
ต่อมาในระยะหลังเริ่มมีข้อมูลมากขึ้น
ทั้งการถอดความจากศิลาจารึกในสมัยต่าง ๆ ทั้งแผ่นใบลานโลหะเงิน ทองคำ ทองแดง
และดีบุก ตลอดจนข้อมูลจากเอกสารต่างประเทศในอดีตจากหลายที่หลายแหล่ง
ความเชื่อดั้งเดิมจึงค่อยคลายตัวลง จนปัจจุบันเข้าใจตรงกันว่า “สุพรรณภูมิ” คือ “เสียน” ตามที่ราชสำนักจีนออกเสียงมาจากคำว่า
“สยาม”
ในชั้นเดิมที่ยังไม่พบหลักฐานจากพงศาวดารจีน
จนทำให้ “สุพรรณภูมิ” รัฐเริ่มแรกของสยามถูกมองผ่านไปนั้น เป็นเพราะหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เป็นลายลักษณ์อักษรมีน้อยเกินไปจนเกิดข้อขัดข้องในการตีความ
แต่หากสังเกตก็จะพบสาเหตุที่แท้จริงว่า ในแคว้นรัฐที่ถูกครอบครองด้วยวัฒนธรรมขอมมาแต่เดิม
จนต่อมาแม้อิทธิพลของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ เสื่อมลง แต่ระยะเปลี่ยนถ่ายนั้นบางรัฐแคว้นก็ยังดำรงวัฒนธรรมบางอย่างของขอมอยู่
เช่นในรัฐสุโขทัยยังใช้วิธีจารึกโองการผ่านหลักศิลา ขณะที่สยามสลัดวัฒนธรรมขอมออกไปเป็นการจารึกลงแผ่นลานเงินลานทองแล้วบรรจุลงในสถูปเจดีย์ตามคตินิยมในพุทธเถรวาท
ข้อดีมีอยู่มาก แต่ข้อเสียก็คือคนที่พบในชั้นหลังเห็นเป็นสิ่งมีค่าก็นำลานทองไปหลอม
ประวัติศาสตร์ที่บรรพชนสั่งสมมาจึงหายไปกับความร้อนที่ละลายทอง ขณะที่ศิลาจารึกมีคุณค่ามหาศาลในทางประวัติศาสตร์
กลับถูกปล่อยทิ้งตากแดดฝนเพราะถูกมองค่าแค่ศิลาสกัด
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
ทรงเป็นผู้คำนำอธิบายเบื้องต้น ในจดหมายเหตุจีนว่าด้วยกรุงสยามแต่โบราณฯ
ภาาพจาก : วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
อย่างไรก็ดี แม้จะยอมรับกันว่า “เสียน”(สยาม) คือสุพรรณภูมิ
แต่พงศาวดารที่หลวงเจนจีนอักษรแปลฉบับนี้ก็ยังถูกลืมไป
เหตุผลเพราะการกำหนดความหมายในพงศาวดารฉบับนี้ ยังมีความคลุมเครือต่อภาษาสำนวนที่ชวนสับสน และการตีความก็อยู่ภายใต้กรอบสุโขทัยเป็นเสียน รวมถึงรายพระนามพระมหากษัตริย์
และระยะปีการครองราชย์ ก็คำนึงถึงการสอดรับกับพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาเป็นสำคัญ
จึงทำให้ผู้ศึกษาในชั้นหลังเกิดความสับสน ยากจะหาคำตอบที่แท้จริง จึงละเลยเลิกสนใจ
แต่หากเราหันกลับมาพิจารณาและทำความเข้าใจอย่างใจเย็นอีกครั้ง
จะพบว่าทุกเอกสารโบราณของจีนได้ระบุถึงเหตุการณ์วันเดือนปีไว้อย่างชัดเจน
ด้วยกระบวนการจารึกและเก็บรักษาอย่างมีระบบภายใต้กรอบจริยธรรมของราชสำนักอย่างเข้มงวด
ดังจะเห็นได้จากประเทศต่าง ๆทั่วโลกที่เคยดำเนินความสัมพันธ์กับจีนโบราณ ต่างเชื่อถือ
และใช้ข้อมูลจากพงศาวดารเหล่านี้อ้างอิงเสมอมา
“จดหมายเหตุจีนว่าด้วยกรุงสยามแต่โบราณ” และทุกเอกสารโบราณของจีนที่กล่าวถึงสยาม
มีการแปลออกมาย้อนเวลาไปมากที่สุดเพียงราชวงศ์หยวน(พ.ศ.๑๘๑๔-๑๙๑๑)
แม้เพียงเท่านั้น ก็ทำให้เรารู้ว่า สยาม
เป็นรัฐแรกเริ่มในลุ่มเจ้าพระยาที่เกิดขึ้นหลังการล่มสลายของอิทธิพลขอมนับแต่พระเจ้าชัยวรมันที่
๗ ก็ค่อย ๆยืนหยัดจนยกระดับสถานะเป็นเมืองอย่างชัดเจน จนถึงปีพ.ศ.๑๘๒๕ กุบไล ข่าน
แห่งจักรวรรดิหยวน ได้ส่งราชทูตมาเจริญสัมพันธไมตรีกับสยาม แม้จะไม่ได้บอกว่าพระเจ้าแผ่นดินแห่งสยามทรงพระนามใด
แต่ก็พออนุมานได้ว่าอาจเป็นสมเด็จพระอัยกา(ปู่)ของขุนหลวงพ่องั่ว
เอกสารโบราณของจีนยังบอกด้วยว่า การส่งคณะราชทูตมาสยามของราชสำนักหยวนในครั้งแรก
ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะสำเภาอับปางเสียก่อนมาถึง แต่อีก ๑๑ ปีต่อมาในปีพ.ศ.๑๘๓๖
ฮ่องเต้หยวนสี่จงก็ส่งราชทูตมาเจริญสัมพันธไมตรีอีกครั้ง จากนั้นในปีรุ่งขึ้นพ.ศ.๑๘๓๗
พระเจ้าแผ่นดินสยาม(สันนิษฐานว่าเป็นสมเด็จพระราชบิดาขุนหลวงพ่องั่ว)
ได้เสด็จไปยังราชสำนักจีนเป็นครั้งแรก จากนั้นก็พัฒนาความสัมพันธ์เรื่อยมา
พ.ศ.๑๘๓๙ สมเด็จพระราชบิดา
ส่งราชทูตไปยังราชสำนักจีนเพื่อขอม้า สอดคล้องกับศิลาจารึกพ่อขุนราม
ที่ได้รับการตีความว่าเวลานั้นสุโขทัยเข้าควบคุมสุพรรณภูมิไปจนถึงหัวเมืองทางตอนใต้
ฮ่องเต้จีนได้พระราชทานม้าไปพร้อมกับเสื้อยศลายทอง อาจเป็นนัยเพื่อประกาศว่า
สยามกับจีนเป็นหนึ่งเดียวกัน สงครามดำรงอยู่ระยะสั้น ๆ พอเข้าพ.ศ.๑๘๔๑
พ่อขุนรามคำแหงก็สวรรคต จากนั้นในปีพ.ศ.๑๘๔๓ พระเจ้าแผ่นดินสยามก็เสด็จไปจีนอีกครั้ง
เท่ากับในสมัยสมเด็จพระราชบิดาขุนหลวงพ่องั่ว เสด็จฯไปจีนถึง ๒ ครั้ง
จักรพรรดิหยวนซื่อจู กุบไล ข่าน ส่งราชทูตมาเจริญราชไมตรีกับสยาม
หลังการสถาปนาราชวงศ์หยวนได้ ๓ ปี พ.ศ.๑๘๒๕ และพ.ศ.๑๘๓๖
ภาพจาก : วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
สาระสำคัญของจดหมายเหตุจีนโบราณว่าด้วยกรุงสยาม
และเอกสารโบราณของจีน บอกถึงรายละเอียดของช่วงเวลา และสาระของการเจริญราชไมตรีกับแผ่นดินสยาม
นับตั้งแต่ราชวงศ์หยวน(พ.ศ.๑๘๑๔-๑๙๑๑) ราชวงศ์หมิง (พ.ศ.๑๙๑๑-๒๑๘๗) และราชวงศ์ชิง
(พ.ศ.๒๑๘๗-๒๔๕๕)
เป็นฐานข้อมูลที่รวมระยะเวลาได้ถึง ๖๔๑ ปี
นับมีคุณค่าต่อประวัติศาสตร์ชาติสยามเป็นอย่างยิ่ง
ชื่อ “สยาม” จึงเป็นนามราชอาณาจักรที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง หากแต่ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั้นมีเฉพาะการย้ายราชธานีหรือศูนย์กลางบังคับบัญชา
เริ่มจาก พระนครสุพรรณภูมิ
พระมหานครศรีอยุธยา กรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ในปัจจุบัน คำตอบที่คิดว่าประวัติศาสตร์สุพรรณภูมิหายไปนั้น
แท้จริงล้นเกล้าฯรัชกาลที่ ๕
พระราชทานให้คนไทยนานกว่าร้อยปีแล้วนั่นเอง
บันทึกจากเอกสารจีนโบราณมีการแปลออกมาหลายครั้ง
และล่าสุด หมิงสือลู่-ชิงสือลู่ บันทึกเรื่องจริงแห่งราชวงศ์หมิงและชิงฯของมูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
ปีพ.ศ.๒๕๕๙ ก็ให้รายละเอียดและความชัดเจนเพิ่มมากขึ้น เมื่อรวมกับเอกสารก่อนหน้านี้ ทั้งพงศาวดารไทย
และหลักฐานทางโบราณคดี หากนำมาสังเคราะห์ร่วมอย่างมีระบบ จะทำให้ผู้ศึกษาประวัติศาสตร์ได้รับองค์ความรู้ก้อนใหญ่ในบริบทของต้นทางสยามจากสุพรรณภูมิจนถึงรัตนโกสินทร์
องค์ความรู้ที่ได้นี้
เมื่อนำมาเชื่อมต่อกับการศึกษาของทุกฝ่ายนับแต่อดีต ณ จุดเริ่มต้นของ “สุวรรณภูมิ”เมืองอู่ทองโบราณ
ที่เชื่อกันว่าซากโบราณสถานที่ยืนตระหง่านง้ำผ่านกาลเวลา
จากสมัยเริ่มต้นของการเป็นเมืองท่าเขตการค้าทางทะเล
มีการสั่งสมองค์ความรู้จากความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่มาพร้อมกับการค้า
เกิดการพัฒนาเมืองจากนวัตกรรมใหม่ จนเข้าสู่การครอบงำของวัฒนธรรมฟูนัน
การแทรกตัวของศิลปะอินเดีย เข้าสู่สมัยทวารวดี ผสมผสานกับศรีวิชัยในช่วงเวลาเหลื่อมไล่กัน
จนเข้าสู่ระยะกลางของพุทธศตวรรษที่ ๑๘
และเริ่มคลี่คลายจากอิทธิพลของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ก่อนจะแยกตัวตั้งตนสร้างบ้านแปงเมืองจนบทบาทของ
“สุวรรณภูมิ” กลับมาอีกครั้งในนาม “สุพรรณภูมิ”
องค์ความรู้จากต้นทางและปลายทางนี้
จะสมบูรณ์มากน้อยเพียงใด อยู่ที่ทุกคนไม่ละเลยที่จะใส่ใจแม้รายละเอียดเพียงเล็กน้อย เพราะข้อมูลเพียงไม่กี่คำอาจช่วยเติมต่อให้ประวัติศาสตร์กลับมามีชีวิต ไม่ให้หลงผิดไปกับข้อมูลหว่านล้อมที่นับวันจะเบ่งบานราวทานตะวันหลงทิศ
หากจะกล่าวไปแล้ว ข้อมูลและหลักฐานจากเอกสารจีนที่นำมากล่าวถึงแม้เพียงเล็กน้อย ยังสามารถเดินทางข้ามอดีตไปถึงราชวงศ์หยวน จนส่งผลให้สยามมีอายุยาวนานมากกว่า ๗๐๐ ปี
นี่ยังไม่รวมหลักฐานจากโบราณวัตถุจำพวกเศษกระเบื้องใต้เคลือบลายสมัยราชวงศ์ซ่ง ที่มีอายุย้อนหลังไปอีก ๓๐๐ ปี กระจัดกระจาย...นอนนิ่งสนิท...อยู่ใต้ซากกำแพงเมืองโบราณสุพรรณภูมิ.
สืบค้นให้หนัก ให้ได้ภาพชัด "สุพรรณภูมิ"
...............วิญญู บุญยงค์..............
**********
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น