พระกริ่งบาเก็ง
(กริ่งพระเจ้าปทุมสุริยวงศ์)
ในอาณาจักรขอม
พุทธศาสนามหายานรุ่งเรืองควบคู่ไปกับศาสนาพราหมณ์ และขึ้นสูงสุดในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่
๗ (พ.ศ.๑๗๒๔-๑๗๖๓)
ในช่วงต่อมาบางครั้งก็เกิดความขัดแย้งกันถึงขนาดทำลายศาสนาของฝ่ายตรงกันข้าม
ดังจะเห็นได้จากโบราณสถานปราสาทหินหลายแห่งมีร่องรอยการแปลงกลับไปกลับมาระหว่างเทวสถานกับพุทธสถาน
ตามคตินิยมพุทธมหายานให้ความเคารพนับถือพระไภษัชยคุรุ
พระพุทธเจ้าทางการบำบัดรักษาโรค
จึงมีการสร้างองค์พระพุทธรูปถือหม้อยาไว้ตามศาสนสถานเพื่อให้ผู้คนได้มาบูชากราบไหว้ขอพรและวิงวอนให้หายจากอาการเจ็บป่วย
อีกส่วนหนึ่งมีการจำลองพระไภษัชยคุรุเป็นขนาดเล็กภายในก้นฐานบรรจุกริ่งที่เรียกว่า”พระกริ่ง”นำไปประดิษฐานไว้ในขันน้ำมนต์หรือภาชนะที่ทางศาสนสถานจัดเตรียมไว้
และผู้คนก็จะนำน้ำนั้นมาดื่มหรือประพรมตามร่างกายเพื่อให้หายจากโรคภัย
พระกริ่งปทุมสุริยวงศ์(บาเก็ง)ปางมารวิชัย
พระหัตถ์ซ้ายถือวชิราวุธ
ประทับนั่งบนฐานบัวคว่ำบัวหงาย ๗ กลีบ
ด้านหลังองค์พระไม่มีบัวกลีบ
และไม่แสดงสัญลักษณ์อื่นใด
มีหลักฐานสำคัญปรากฏอยู่ใน “นิราศนครวัด”
ที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
ได้ทรงนิพนธ์ไว้คราวเสด็จเยือนกัมพูชาเป็นการส่วนพระองค์ในระหว่างวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน-๑๔ ธันวาคม ๒๔๗๖ พร้อมด้วยคณะ ประกอบด้วย พระธิดา 3 พระองค์
และศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ (George Cœdès)
โดยได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากเจ้านายในกรุงกัมพูชา และทางการฝรั่งเศส
ในวันที่ ๒๖พฤศจิกายน ๒๔๗๖
เสด็จทอดพระเนตรเทวสถานบนเขาพนมบาเกง(บาแค็ง,บาเก็ง-ผู้เขียน) โดยมีนายอองรี มาร์ชาล(Henri Marchal) นายช่างผู้เชี่ยวชาญดูแลรักษาโบราณสถานชาวฝรั่งเศส
ร่วมนำเสด็จทอดพระเนตร
ในพระนิพนธ์มีเรื่องราวของพระกริ่งโดยตรง ตอนหนึ่งว่า
“อนึ่งเรามาเที่ยวนี้ได้ตั้งใจสืบสวนการเรื่องหนึ่ง
คือเรื่องพระพุทธรูปองค์เล็กๆ ซึ่งเรียกกันว่าพระกริ่ง
เปนของที่นับถือและขวนขวายหากันในเมืองเรามาแต่ก่อน
กล่าวกันว่าเปนพระของพระเจ้าปทุมสุริวงศ(สุริยวงศ์-ผู้เขียน)สร้างไว้ เพราะได้ไปจากเมืองเขมรทั้งนั้น
เมื่อครั้งรัชกาลที่ ๔ พระอมรโมลี(นพ)วัดบุบผาราม
ลงมาส่งมหาปานราชาคณะธรรมยุติในกรุงกัมพูชาองค์แรก
ซึ่งต่อมาได้เปนสมเด็จพระสุคนธ์นั้น มาได้พระกริ่งขึ้นไปให้คุณตา
(พระยาอัพภันตริกามาตย์) ท่านให้แก่เราแต่ยังเปนเด็กองค์หนึ่ง เมื่อเราบวชเณรนำไปถวายเสด็จพระอุปัชฌาย์(สมเด็จกรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์)
ทอดพระเนตร์ ท่านตรัสว่า เปนกริ่งพระเจ้าปทุมสุริวงศแท้
และทรงอธิบายต่อไปว่าพระกริ่งพระเจ้าปทุมสุริวงศนั้นมี ๒ อย่าง เปนสีดำอย่าง ๑
เปนสีเหลืององค์ย่อมลงมากว่าสีดำอย่าง ๑ แต่อย่างสีเหลืองนั้นเราไม่เคยเห็น
ได้เห็นของผู้อื่นก็เป็นอย่างสีดำทั้งนั้น
ต่อมาเมื่อเราอยู่กระทรวงมหาดไทย
พระครูเมืองสุรินทร์เข้ามากรุงเทพฯ เอาพระกริ่งมาให้อีกองค์หนึ่ง ก็เปนอย่างสีดำ
ได้พิจารณาเทียบเคียงกันดูกับองค์ที่คุณตาให้ เห็นเหมือนกันไม่ผิดเลย
จึงเข้าใจว่าพระกริ่งนั่น เดิมเห็นจะตีพิมพ์ทำทีละมาก ๆ และรูปสัณฐานเห็นว่าเปนพระพุทธรูปมหายานอย่างจีน
มาได้หลักฐานเมื่อเร็ว ๆ นี้ ด้วยราชทูตต่างประเทศคนหนึ่งเคยไปอยู่เมืองปักกิ่ง
ได้พระกริ่งทองของจีนมาองค์หนึ่ง
ขนาดเท่ากันเปนแต่พระพักตร์มิใช่พิมพ์เดียวกับพระกริ่งพระเจ้าปทุมสุริวงศ
ถึงกระนั้นก็เปนหลักฐานว่าพระกริ่งเปนของมาแต่เมืองจีนแน่
มาเที่ยวนี้จึงตั้งใจจะสืบหาหลักฐานว่าพระกริ่งนั้นหากันได้ที่ไหนในเมืองเขมร
ครั้นมาถึงเมืองพนมเพ็ญ(พนมเปญ-ผู้เขียน) พอพระเจ้าพระสงฆ์ที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่
ลองไต่ถามก็ไม่มีใครรู้เรื่องพระกริ่งและไม่เคยเห็น มีออกญาจักรีคนเดียวบอกว่าสัก
๒๐ ปีมาแล้วได้เคยเห็นของชาวบ้านนอกองค์หนึ่งเปนพระชนิดเช่นว่าแต่ก็หาได้เอาใจใส่ไม่
ครั้นมาถึงพระนครวัด
จึงมาได้ความจากมองสิเออมาร์ชาล ผู้จัดการรักษาโบราณสถาน ว่าเมื่อสัก ๒-๓
เดือนมาแล้วเขาขุดซ่อมเทวสถานซึ่งแปลงเปนวัดพระพุทธศาสนา อยู่บนยอดเขาบาเกง
ริมนครธมข้างด้านใต้ พบพระพุทธรูปเล็ก ๆ อยู่ในหม้อใบหนึ่งหลายองค์ เอามาให้เราดู
เปนพระกริ่งพระเจ้าปทุมสุริวงศทั้งนั้น มีทั้งอย่างดำและอย่างเหลือง
ตรงกับที่สมเด็จพระอุปัชฌาย์ทรงอธิบาย
จึงเป็นอันได้ความแน่ว่าพระกริ่งที่ได้ไปยังประเทศเราแต่ก่อนนั้น
เปนของที่หาได้ในกรุงกัมพูชาแน่ แต่จะทำมาจำหน่ายจากเมืองจีน
หรือพวกขอมจะเอาแบบพระจีนมาคิดหล่อขึ้นในประเทศขอม ข้อนี้ทราบไม่ได้ “(นิราศนครวัด,85-86)
คราบสนิมสีเขียวที่เกิดจากปฏิกิริยาของเนื้อโลหะที่บรรจุไว้ภายในหม้อเป็นเวลานาน
กริ่งพระเจ้าปทุมสุริยวงศ์
ชื่อนี้มีที่มาอย่างไรไม่แน่ชัด แต่มีการค้นพบที่เขาพนมบาเกง โดยนายอองรี มาร์ชาล
ระบุว่า “เทวสถานซึ่งแปลงเป็นวัดพระพุทธศาสนา” จึงน่าจะมีการประดิษฐานพระไภษัชยคุรุและหม้อน้ำมนต์ที่ภายในบรรจุพระกริ่งอยู่
ด้วยเหตุนี้พระกริ่งที่นายอองรี มาร์ชาล พบ จึงถูกบรรจุอยู่ในหม้อ
ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นหม้อน้ำมนต์นั่นเอง
ด้านหลังมีคราบสนิมน้ำตาลปะปนกับสนิมเขียวและสนิมแป้ง
ส่วนปราสาทบาเกงนี้
สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้ายโสวรมันที่ 1 (พ.ศ.๑๔๓๒-๑๔๔๓)
เป็นเทวสถานฮินดูในลัทธิไศวนิกาย
ช่วงต่อมามีกษัตริย์ที่นับถือพุทธมหายานก้าวขึ้นมามีอำนาจอีกหลายพระองค์ อาทิ
พระเจ้าราเชนทรวรมันที่ 1(พ.ศ.๑๔๗๘)ในสมัยปลายอาณาจักรเจนละ จนเข้าสู่สมัยพระนคร
พระเจ้าธรณินทรวรมันที่ ๒(พ.ศ.๑๖๙๓-๑๗๐๓) และรุ่งเรืองสุดขีดในรัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่
๗ (พ.ศ.๑๗๒๔-๑๗๖๓ ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงเทวสถานมาเป็นพุทธสถาน
และสร้างพระกริ่งบรรจุในหม้อน้ำมนต์ก็อาจเกิดขึ้นในช่วงใดช่วงหนึ่งของระยะนี้
อายุการสร้างของพระกริ่งปทุมสุริยวงศ์(กริ่งบาเก็ง)จึงอยู่ระหว่างประมาณ ๘๐๐-๑,๐๐๐
ปี.
*********
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น