นางพญา
พิมพ์เข่าโค้ง
พระนางพญา เริ่มเป็นที่รู้จักของผู้คนเมื่อคราวสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง
รัชกาลที่ ๕ เสด็จประพาสเมืองพิษณุโลกในปีพ.ศ.๒๔๔๔ เพื่อทรงหล่อพระพุทธชินราชจำลองไปประดิษฐานยังวัดเบญจมบพิตร
ในคราวนั้นทางวัดนางพญาได้จัดเตรียมสร้างพลับพลาที่ประทับ พระกรุนางพญาจึงแตกขึ้นมาขณะขุดหลุมเตรียมปักเสา
เมื่อสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จพระราชดำเนิน ทางวัดจึงทูลเกล้าฯถวายไปเป็นจำนวนมาก
ต่อมามีการพบเพิ่มเติมแต่ผู้คนสมัยนั้นไม่ได้ตื่นเต้นอะไรนัก
เพราไม่มีค่านิยมนำพระหรือของวัดเข้าบ้าน พระที่พบจึงถูกนำไปกองไว้ตามพระเจดีย์เก่า
หรือใส่ไหฝังไว้ตามไร่นาไม่นำเข้าบ้าน อาจมีนัยยะที่ต้องการให้พระคุ้มครองอาณาบริเวณพื้นที่ก็เป็นได้
ในระยะต่อมาจึงมีการพบพระนางพญาบรรจุในไหอยู่ตามท้องนาบ้าง โคนต้นไม้บ้างนั่นเอง
พระนางพญาที่พบนั้น
มีอยู่ด้วยกันหลายพิมพ์ ได้แก่ พิมพ์เข่าโค้ง พิมพ์เข่าตรง พิมพ์อกนูนใหญ่
พิมพ์อกนูนเล็ก พิมพ์สังฆาฏิ และพิมพ์เทวดา เป็นต้น นอกจากนั้นในพระนางพญาทุกแบบพิมพ์ยังมีอยู่หลายเนื้อแบ่งเป็น
๓ ประเภทหลักคือ เนื้อหยาบ เนื้อละเอียด และเนื้อละเอียดปนหยาบ ส่วนสีของพระนางพญายังมีอยู่ด้วยกันหลากหลายแตกต่างกันไปตามความแรงอ่อนของไฟที่เผาเช่น สีออกเขียวมีเขียวตับเป็ดหรือเขียวตากบ เขียวหินครก เขียวมะกอก ส่วนสีอื่นเช่น สีดอกพิกุล
สีหัวไพล สีอิฐ สีแดง สีขมิ้นชัน
สีน้ำตาลเข้ม และสีดำ เป็นต้น
การพิจารณาพระนางพญา
ต้องเข้าใจถึงอายุพระที่มีตำนานเล่าขานมาว่าสร้างโดยพระวิสุทธิกษัตรีย์ พระมเหสีในสมเด็จพระมหาธรรมราชา
และทรงเป็นพระราชมารดาสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระนางพญาจึงมีอายุอยู่ในราว ๔๐๐
ปีโดยประมาณ ตามศิลปะแบบอยุธยา ดังนั้น ทั้งเนื้อหา พิมพ์ทรง และร่องรอยต่าง ๆ
ต้องมีความเป็นธรรมชาติสมเหตุผลกับกาลเวลา
พระนางพญา นอกจากรูปทรงสัณฐานเป็นสามเหลี่ยมมีความหนา
องค์พระสามารถตั้งบูชาได้ ส่วนเนื้อหานอกจากมวลสารอันเป็นมงคลเช่น ว่าน และเกสรดอกไม้ตามสูตรการสร้างแล้ว
เนื้อหลักเป็นดินและกรวด จึงทำให้พระนางพญามีความแข็งแกร่งจากกรวดที่เข้าไปเสริมให้โครงสร้างพระแข็งแรง
และมีความหนึกนุ่มจากเนื้อดินและว่านเกสร โดยเฉพาะองค์พระที่ผ่านการใช้บูชา ส่วนกรวดที่พบในองค์พระมีสัณฐานทั้งกลม
รี และเหลี่ยมไม่แน่นอน แต่จะไม่มีความคม มีทั้งสีน้ำตาล ขาวใส ขาวขุ่น และดำ
สำหรับองค์ที่นำมาลงนี้
เป็นพระนางพญา พิมพ์เข่าโค้ง สีออกเขียวคล้ำ เนื้อละเอียดปนหยาบ มีความเงาวาวอันเนื่องมาจากผ่านการใช้บูชา
ด้านข้างขององค์พระและด้านล่างมีรอยตัดแบบชิดทั้งองค์
รอยตอกเป็นเส้นใหญ่มีระยะห่าง องค์พระลอยตัวไม่มีฐาน ประทับนั่งปางมารวิชัย
พระหัตถ์ขวาพาดลง พระหัตถ์ซ้ายวางโค้งเหนือพระเพลาที่โค้งรับอยู่ด้านล่าง
ส่วนสำคัญที่ต้องนำมาพิจารณาเพิ่มเติม
คือคราบกรุของพระนางพญาที่มีความแตกต่างกันใน ๒ แบบ คือกลุ่มแรก พระนางพญาที่พบอยู่ตามพื้นดินบริเวณวัดนางพญา
พระกลุ่มนี้จะมีคราบกรุเหมือนคราบดินออกน้ำตาลอ่อนและเข้มสลับกันไป เป็นคราบที่เกาะติดฝังแน่นไม่สามารถล้างออกได้ง่ายและคราบนี้ยังมีความยุบย่นเป็นริ้วอยู่ทั่วไป
ใต้คราบกรุยังพบราดำ มีข้อสังเกตว่าราดำที่พบตามซอกจะมีมิติเหนือพื้นผิว แต่บริเวณที่เนื้อพระถูกสัมผัส ราดำจะแนบสนิทลงไปในเนื้อ และมีส่วนให้ผิวของเนื้อเข้มขึ้นไปตามสีของราดำด้วยเช่นกัน
ส่วนอีกกลุ่ม
เป็นพระนางพญาที่พบอยู่ในไห พระกลุ่มนี้จะมีความสมบูรณ์มากกกว่า
เนื่องจากไม่ผ่านการใช้งาน สภาพขององค์พระยังดูชัดเจนสวยงามทุกส่วน
แต่มีจุดที่พิจารณาได้คือคราบกรุที่เป็นฝ้าละอองหรือที่เรียกว่าคราบแคลเซียม
เหนือคราบนี้เป็นราดำกระจายอยู่ทั่วไป เห็นได้จากบริเวณซอก หรือตามหลุมแอ่งตลอดทั่วทั้งองค์พระ
นอกจากนั้นสภาพพื้นผิวทั้งองค์จะปรากฏรอยผดขนาดเล็ก
พระนางพญา
เป็นพระเครื่องอันทรงคุณค่า ว่ากันว่าเบื้องหลังความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรสยามในรัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
ทั้งอำนาจทางการทหารและการทูตการค้ากับต่างชาติ ส่วนหนึ่งมาจากพระนางพญา
ที่บรรดาเหล่าข้าราชการในพระองค์อาราธนาเป็นอำนาจบารมีทั้งแคล้วคลาด คงกระพันชาตรี
และเมตตามหานิยม.
ร่วมกันศึกษาเพื่อการอนุรักษ์วัตถุโบราณ
.............จันทร์พลูหลวง................
*********
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น